วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ดินน้ำมัน

ดินน้ำมัน เป็นของเล่นสำหรับเด็กที่มีมานาน สำหรับพัฒนาการทางสมอง และกล้ามเนื้อมือ และเสริมกิจกรรมในครอบครัว สมัยโบราณใช้ดินธรรมชาติ (clay หรือ mineral clay) จากแหล่งที่อยู่ซึ่งหาได้ง่ายผสมน้ำ มาใช้สำหรับปั้นตุ๊กตาดิน เช่น ดินเหนียว (Plastic clay) ได้จากการผุกร่อนของหิน เนื้อดินละเอียดสีเนื้อ หรือสีเทา มีความเหนียว จากนั้นมีการผสม กับดินชนิดอื่น เพื่อให้คงรูปได้ง่าย และมีการพัฒนารูปแบบให้เป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยการแต่งสี กลิ่น และเติมสารสังเคราะห์อื่นๆ เพื่อความเหนียวนุ่ม และมีลักษณะน่าใช้ เรียกรวมว่า modeling clay และมีผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายดินน้ำมันซึ่งทำจากแป้ง ที่เรียกว่า Play-dough

            ดินที่ใช้ทำดินน้ำมันมีหลายชนิด  เช่น  ดินเหนียว  และ  แร่ดิน (clay minerals)  แร่ดิน เช่น คาโอลิไนต์ (kaolinite) และ smectites

 
1. Modeling clay

            Modeling clay หรือ Artificial clay ผลิตขึ้นเพื่อใช้ทดแทนดินเหนียวธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ oil-based clay และ polymer clay

            1.1 Oil-based clay

                        Oil-based clay ผลิตจากองค์ประกอบหลัก ได้แก่ แร่ดิน เช่น สารกลุ่มคาโอลิน (kaolins) ผสมกับ น้ำมัน ขี้ผึ้ง ข้อเด่นคือ มีความเหนียวนุ่ม ปั้นขึ้นรูปง่าย ไม่แห้งเมื่อสัมผัสอากาศเพราะเป็นน้ำมัน ไม่ละลายในน้ำ ใช้งานได้นาน และไม่มีพิษ ข้อด้อยคือติดไฟได้ และหลอมเมื่อได้รับความร้อน ปัจจุบันมีผู้ผลิตดินน้ำมันประเภทนี้มากมาย ชื่อที่เป็นที่รู้จัก เช่น Plasticine และ Plastilin

                        Plasticine เป็นชื่อทางการค้า ผลิตจากแร่ดิน เกลือแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต อะลูมิเนียมซิลิเคด (aluminum silicate) ปิโตรเลียมเจลลีหรือวาสลิน (petroleum jelly) long chain aliphatic acid เช่น กรดสเตียริก (stearic acid) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulfur dioxide) น้ำมันพืช (vegetable oils) สารกันเสีย (preservatives) และ เทอร์เพนทีน (turpentine) และส่วนประกอบอื่นๆ ที่เป็นความลับทางการค้า

            1.2 Polymer modifier clay และ Polymer clay

                        Polymer modifier clay เป็นดินน้ำมันที่มีแร่ดินเป็นองค์ประกอบหลัก แต่ส่วนผิวมีการพัฒนาทางเคมีด้วยสารพอลิเมอร์ ส่วน Polymer clay เป็นดินน้ำมันที่ทำจากสารพอลิเมอร์ เช่น พอลิไวนิวคลอไรด์ (polyvinyl chloride) มิได้มีส่วนผสมของดินแร่ ที่มีลักษณะแข็งเมื่ออุณหภูมิต่ำ เมื่อแข็งแล้วไม่สามารถปั้นแต่งได้อีก
 
2. Play-dough

            Play-dough   หรือแปังโด (dough)   หรือแป้งปั้น   ผลิตจากแป้ง (flour)   ที่นิยมใช้มากคือ อะไมโลส (amylose) หรือแป้งสาลี (wheat) น้ำ และ เกลือ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อจุลชีพ บางบริษัทเติมสารหล่อลื่น เช่น ปิโตรเลียม เพิ่มสัมผัสที่อ่อนนุ่ม สารกันเสีย (preservative) เช่น บอแรกซ์ ป้องกันการเจริญของเชื้อ สารแต่งกลิ่น สารแต่งสี สารให้ความชื้น สารลดแรงตึงผิว (surfactant) และส่วนประกอบอื่นๆ ที่เป็นความลับทางการค้า ชื่อการค้าที่เป็นที่รู้จัก และนิยมใช้ทับชื่อภาษาอังกฤษคือ Play-doh มีข้อด้อยคือมีอายุการใช้งานสั้น เพราะเมื่อเล่นไปนานๆ และสัมผัสอากาศ จะแห้งและแข็ง ไม่สามารถปั้นได้อีก ปัจจุบันแป้งปั้นเข้ามาแทนที่ดินน้ำมันประเภท modeling clay มากขึ้น อะไมโลสเป็นส่วนประกอบหลักที่ทำให้แป้งโดเหนียวและปั้นเป็นรูปได้ดี แต่หากมีน้ำและอยู่ในสภาพเย็นจะเกิด retrogradation ทำให้แป้งแข็ง ดังนั้น แป้งโดต้องใส่สารที่เรียกว่า retrogradation inhibitor เช่น อะไมโลเพกติน (amylopectin) หรือ waxy starch อื่นๆ ลงไปด้วย

            ปัจจุบันมีเว็บไซด์ที่แนะนำวิธีการทำดินน้ำมันอย่างง่าย เช่น ถ้าต้องการทำดินน้ำมันประเภท  Oil-based clay ให้ใช้ดินแห้งแบบผง น้ำมัน (oil) น้ำมันเครื่องหรือจารบี (automotive grease) และ ขึ้ผึ้ง (wax หรือ beewax) หรือใช้ดินสอพอง น้ำมันเครื่องเบอร์ 50 พาราฟินแข็ง และ สีผงชนิดสีน้ำมัน โดยเริ่มหลอมพาราฟินก่อนและผสมน้ำมันเครื่องให้เข้ากัน จากนั้นเทลงในดินสอพองที่บดผสมกับสีแล้ว และนวดให้เข้ากัน ทิ้งไว้หนึ่งคืนและนวดต่อจนกระทั่งได้ดินน้ำมัน ความเหนียวขึ้นอยู่กับความหนืดของน้ำมันเครื่อง

            สำหรับแป้งโด มีเว็บไซด์ของประเทศไทยแนะนำการเตรียมขึ้นใช้เองมากมาย ซึ่งส่วนผสมหลักได้แก่ แป้ง เช่น แป้งสาลี หรือแป้งอเนกประสงค์ น้ำ เกลือ ครีมออฟทาร์ทาร์ น้ำมันพืช สารแต่งสีและกลิ่น ข้อดีของแป้งที่ทำเองนี้คือ การใช้สารที่ไม่เป็นอันตรายต่อเด็กเพราะใช้ส่วนผสมที่รับประทานได้ ข้อด้อยคือเล่นได้ไม่นาน เพราะแข็ง และมีกลิ่นหืนของแป้ง และอาจเกิดเชื้อราขึ้น ผู้ใหญ่ต้องคอยสังเกตลักษณะที่เปลี่ยนไป ข้อแนะนำคือต้องเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทและเก็บในตู้เย็น

            ดินน้ำมันอื่นๆ เช่น ดินญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนผสมของกาว ซึ่งอาจผลิตขึ้นเองจาก แป้งข้าวเจ้า น้ำ และสารกันเสีย นำกาวที่ได้มาผสมกับแป้งอเนกประสงค์หรือแป้งสาลี ทัลคัม (talcum) และน้ำมันพืช นวดเป็นเนื้อดียวกัน และเติมทิชชูที่ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ นวดให้เข้ากัน แต่งสี แต่งกลิ่น จะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายดินน้ำมัน ใช้เล่นได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ห้ามแช่ตู้เย็น

ข้อควรระวังในการเล่นดินน้ำมัน

            ดิน น้ำมันรับประทานไม่ได้         หรือแม้แป้งปั้นที่ทำจากส่วนประกอบที่สามารถรับประทานได้ก็ต้องระวังไม่ให้เด็กกลืนเข้าไป     เพราะมิได้ผลิตตามหลักโภชนาการ จึงอาจมีการปนเปื้อนของสารต่างๆ          ที่สำคัญต้องระมัดระวังไม่ให้เด็กใส่เข้าไปในจมูก  เพราะหากหลุดลงไปอุดหลอดลม อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำและดูแลเด็กเล็กในการเล่นดินน้ำมันหรือแป้งปั้นอย่างถูกต้อง   อาการที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นคือการเกิดอาการแพ้องค์ประกอบต่างๆ ในดินน้ำมันและแป้งปั้น



อาการภูมิแพ้

            ดินน้ำมันรับประทานไม่ได้ หรือแม้แป้งปั้นที่ทำจากส่วนประกอบ ที่สามารถรับประทานได้ก็ต้องระวังไม่ให้ เด็กกลืนเข้าไป เพราะมิได้ผลิตตามหลักโภชนาการ จึงอาจมีการปนเปื้อนของสารต่างๆ ที่สำคัญต้องระมัดระวังไม่ให้เด็กใส่เข้าไปในจมูก เพราะหากหลุดลงไปอุดหลอดลม อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำและดูแลเด็กเล็กในการเล่นดินน้ำมันหรือแป้งปั้นอย่าง ถูกต้อง อาการที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นคือการเกิดอาการแพ้องค์ประกอบต่างๆ    ในดินน้ำมันและแป้งปั้นโรคที่พบบ่อยและมีรายงานจากการเล่นดินน้ำมันคืออาการภูมิแพ้ (allergy) โดยเฉพาะ การระคายเคืองผิวหนังบริเวณที่สัมผัส (skin irritations) หรือ contact dermatitis สารในดินน้ำมันที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เช่น น้ำมันพืช โดยเฉพาะน้ำมันที่ผลิตจากถั่ว (peanut oils) สารกันเสีย น้ำมันเครื่อง

            มีรายงานการเกิดอาการแพ้ในเด็ก  ที่เล่นแป้งปั้นที่มีประวัติแพ้สารในธัญญาพืช (wheat) ต่างๆ เมื่อสัมผัสแป้งปั้นที่ทำจากแป้งสาลีประมาณหนึ่งชั่วโมง จะเกิดการระคายเคืองผิวหนัง คัน เกิดอาการบวมแดงที่ผิวหนังและหนังตา โดยส่วนใหญ่การแพ้เกิดจากการแพ้โปรตีนในแป้ง คือ กลูเทน (glutens) พบว่าส่วนเว็บไซด์ของบริษัทที่ผลิต Play-dohä ระบุว่า “ Children who are allergic to wheat gluten may have an allergy reaction to this products” หรืออาจเกิดการแพ้ในเด็กที่มีประวัติแพ้สารกลูเทน ทั้งนี้ไม่พบข้อความเหล่านี้บนฉลากของผลิตภัณฑ์

            สารกลุ่มละลายในน้ำมัน เช่น น้ำมันเครื่อง พาราฟิน อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ
         
ความเป็นพิษ

            ดินธรรมชาติมีการปนเปื้อนของโลหะหนักตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ไม่พบรายงานที่ก่อให้เกิดอันตราย ดินน้ำมันประเภทพอลิเมอร์อาจใส่สาร plasticizer เช่น สารกลุ่มพธาเลต เช่น di-(ethylhexyl) phthalate (DEHP) ที่มีรายงานว่าเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในหนูทดลองเมื่อให้ในปริมาณสูง

            ขึ้ผึ้งประเภท chlorinated synthetic waxes มีความเป็นพิษต่อผิวหนังสูง และสามารถซึมเข้าไปในผิวหนังทำให้เกิดสิวได้ (chloracne)
 
ข้อแนะนำในการเล่นดินน้ำมัน

            ต้องล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งหลังการเล่น   วิธีเล่นที่ปลอดภัยคือการสวมถุงมือเพื่อป้องกันการสัมผัส แต่อาจทำให้ความสนุกเพลินเพลินลดลง

เอกสารอ้างอิง

1. Peng Liu, Polymer modifier clay minerals: A review, Applied clay science, 38 (2007) 64-76

2. Jiri Conta, Clay and man: Clays raw materials in the service of man, 10 (1995) 275-335.

3. P.P. Ponda, S.H. Sicherer An allergic reaction to Play-Doh in a child with wheat hypersensitivity Journal of Allergy and Clinical Immunology, Volume 115, Issue 2, Supplement 1, February 2005, Page S32

4. http://entertainment.howstuffworks.com/play-doh3.htm

5. http://www.hasbro.com/playdoh/en_US/

6. http://www.uic.edu/sph/glakes/harts1/HARTS_library/sculpturehazards.txt

7. A. Tosti, R. Bassi and A. M. Peluso, Contact dermatitis due to a natural plasticine Contact Dermatitis Volume 22 Issue 5, Pages 301 - 302Copyright Munksgaard 1990

KEYWORDS
allergic contact dermatitis • children • plasticine, preservatives • Preventol D5 • Kathon CG • Kathon 886 • 2-chloro-N-methyl-chloroacetamide • chloroacetamide

น้ำยาลบคำผิด


ปัจจุบันน้ำยาลบคำผิดได้เข้ามาแทนที่ยางลบมากขึ้น เนื่องจากใช้สะดวก ไม่ต้องออกแรง แถมยังไม่ต้องอารมณ์เสียกับ ปัญหากระดาษเปื่อยหรือขาดอีกด้วย ในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์น้ำยาลบคำผิดจำหน่ายหลายยี่ห้อและรูปแบบ เช่น บรรจุในขวด หรือในปากกา โดยอาจมีส่วนผสมโดยละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง แต่ทั่วไปจะประกอบด้วยสารทึบแสงซึ่งช่วยปิดทับคำผิด เช่น titanium dioxide ตัวทำละลาย เช่น น้ำ ตัวทำละลายอินทรีย์ที่ระเหยได้ง่าย สารที่ช่วยให้สารทึบแสงกระจายตัวได้ในตัวทำละลาย และอาจแต่งสีบ้าง ส่วนประกอบที่เป็นตัวทำละลายอินทรีย์นี้เองที่อาจมีผลต่อสุขภาพของผู้ใช้หากมีการใช้ไม่ถูกต้อง หรือมีการสัมผัสอย่างต่อเนื่องนานๆ ตัวทำละลายอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในน้ำยาลบคำผิดได้แก่ เมธิลคลอโรเฮกเซน (methylchlorohexane)

Methychlorohexane

ชื่ออื่นๆ :

            chlorohexylmethane, hexahydrotoluene, toluene hexahydride


โครงสร้างเคมี :  

            C7H14

คุณสมบัติทั่วไป :

            ของเหลวไม่มีสี มีกลิ่นคล้ายเบนซีน ไม่ละลายในน้ำ ติดไฟได้ ทำปฏิกิริยากับกับ oxidizing agent

อันตราย ความเป็นพิษ และการป้องกันแก้ไข :

การติดไฟและระเบิด
            methylchlorohexane จัดเป็นสารที่ติดไฟได้ง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงการนำสารนี้เข้าไปใกล้เปลวไฟ ประกายไฟ หรือบุหรี่ เมื่อเกิดการลุกไหม้แล้วให้ดับด้วยเคมีชนิดแห้ง คาร์บอนไดออกไซด์ หรือน้ำยาดับเพลิงชนิดโฟม เนื่องจากน้ำไม่มีประสิทธิภาพดีพอ นอกจากนี้ยังควรระวังการสูดดมก๊าซที่เกิดจากการเผาไม้ของ methylchlorohexane เนื่องจากเป็นก๊าซที่เป็นอันตราย

อันตรายจากการสูดดม

            methylchlorohexane มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยทำให้เกิดอาการระคายเคืองจมูก และลำคอ เวียนศีรษะ มึนงง ง่วงนอน และการสูดดมเข้าไปก็เป็นวิธีการที่จะได้รับสารนี้ได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเมื่อต้องการทำงานโดยใช้น้ำยาลบคำผิดอย่างต่อเนื่องนานๆ     ควรทำในบริเวณที่มีการระบายอากาศดี หรือพยายามหลีกเลี่ยงไม่สูดดมน้ำยาโดยตรง หรือมีอุปกรณ์เพื่อป้องกันหรือลดการสูดดมเข้าไป หากเริ่มมีอาการเวียนศีรษะควรหยุดใช้แล้วย้ายออกไปสูดอากาศที่บริสุทธิ์

อันตรายจากการสัมผัสทางผิวหนัง

            เมื่อสัมผัสกับ methylchlorohexane บ่อยๆ จะทำให้ผิวหนังแห้ง ดังนั้นจึงควรล้างบริเวณที่สัมผัสด้วยน้ำสะอาด

อันตรายเมื่อเข้าตา

            ทำให้เกิดอาการตาแดง ดังนั้นให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากๆ หลายๆ ครั้งเป็นเวลา 15 นาที โดยเปิดเปลือกตาบนและเปลือกตาล่างเป็นระยะ

อันตรายเมื่อรับประทานเข้าไป

            ทำให้คลื่นไส้            และหากสำลักอาจทำให้เกิดปอดอักเสบจากสารเคมี           เมื่อได้รับ methylchlorohexane เข้าไปโดยการรับประทาน ให้บ้วนปากมากๆ แล้วนำผู้ป่วยไปพบแพทย์

อันตรายจากการได้รับสารเรื้อรัง

            ยังไม่มีการทดสอบการก่อมะเร็งจากสารนี้ แต่อาจมีผลต่อตับและไต

เอกสารอ้างอิง

1. http://www.inchem.org/documents/icsc/icsc/eics0923.htm

2. http://physchem.ox.ac.uk/MSDS/ME/methylcyclohexane.html

3. http://www.state.nj.us/health/eoh/rtkweb/1242.pdf#search=%22methylcyclohexane%22



บอแรกซ์

 บอแรกซ์ หรือในชื่อเรียกอื่นๆ เช่น น้ำประสานทอง เผ่งเซ ผงกรอบ หรือแป้งกรอบ เป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่ถูกนำมาอย่างไม่ถูกต้อง โดยการนำมาผสมอาหาร เพื่อทำให้อาหารมีความเหนียว หรือกรุบกรอบ ทำให้อาหารชวนรับประทาน แต่ในความจริงแล้วการบริโภคบอแรกซ์ทำให้เกิดอันตรายได้อย่างมาก อาหารที่มักพบว่า มีบอแรกซ์ผสม เช่น ลูกชิ้น หมูยอ อาหารชุบแป้งทอด พวกกล้วยทอด มันทอด ผัก/ผลไม้ดอง เป็นต้น ปัจจุบันยังตรวจพบว่า มีการนำบอแรกซ์มาผสมน้ำ ใช้รดผัก หรืออาหารทะเล ก่อนวางจำหน่าย โดยเชื่อกันว่า จะทำให้อาหารดูสดชื่น และกรอบน่ารับประทาน

 
ชื่อวิทยาศาสตร์ และสูตรเคมี
 
             Anhydrous borax (Na2B4O7)

             Borax pentahydrate (Na2B4O7·5H2O)

             Borax decahydrate (Na2B4O7·10H2O)

ประโยชน์
 
             โดยทั่วไปบอแรกซ์ใช้ในอุตสาหกรรมทำแก้ว ล้างหม้อขนาดใหญ่ ใช้ป้องกันวัชพืชในการเกษตร ใช้ป้องกันเชื้อราขึ้นตามต้นไม้    ใช้เป็นยาเบื่อแมลงสาบ     และใช้เป็นตัวเชื่อมทองเส้นเข้าด้วยกัน แต่ปัญหาการใช้บอแรกซ์เกิดจากเมื่อนำมาใช้ผสมอาหาร และทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค
 
การเกิดพิษ
 
             บอแรกซ์ เป็นวัตถุห้ามใช้ในอาหาร หากบริโภคเข้าไป จะเกิดอันตรายต่อร่างกาย การบริโภคขนาด 0.1-0.5 กรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมอาจทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าผู้ใหญ่ได้รับสารบอแรกซ์ 15 กรัม หรือเด็กได้รับ 5 กรัม จะทำให้อาเจียนเป็นเลือดและอาจตายได้ บอแรกซ์เป็นพิษต่อไตและสมอง ทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะไตเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทำให้เกิดกรวยไตอักเสบ เนื่องจากการสะสมของบอแรกซ์ และหากร่างกายได้รับสารบอแรกซ์ในปริมาณมาก จะทำให้เกิดกระเพาะอาหาร และลำไส้อักเสบ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อุจจาระร่วง ตับถูกทำลาย อาจชัก หมดสติ โดยเฉพาะในเด็ก และคนชรา อาจถึงตายได้ ผู้ฝ่าฝืน ใช้บอแรกซ์ผสมในอาหาร จะมีความผิดตามกฎหมาย โทษฐานผลิตอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุก 1 ปี หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 151 (พ.ศ. 2536) กำหนดให้บอแรกซ์เป็นสารที่ห้ามใช้ในอาหาร
 
การป้องกันเพื่อความปลอดภัย

             1. หลีกเลี่ยงอาหารที่หยุ่นกรอบอยู่ได้นานผิดปกติ

             2. เนื้อสัตว์ที่ซื้อมาปรุงอาหารต้องล้างให้สะอาดก่อนนำไปหั่น หรือสับ

             3. ใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ผลิตออกจำหน่าย

             4. หากสงสัย หรือพบมีการนำบอแรกซ์มาผสมอาหารให้ร้องเรียนกับ อย.

 
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
 
             เมื่อรับประทานบอแรกซ์เข้าไปปริมาณมาก ให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้วแล้วไปพบแพทย์
 
เอกสารอ้างอิง

1. http://www.prc.ac.th/healthy/p7.htm  

2. http://en.wikipedia.org/wiki/Borax 

3. http://www.borax.com/pdfs/dist/MSDS_Borax_Decahydrate.pdf

สารกันเสียในเครื่องสำอาง

 สารกันเสีย (Preservative) เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อยีสต์ เพื่อป้องกันมิให้เครื่องสำอางเสียง่าย เช่นการเติมในครีมทาผิวเพราะมีการแต่งกลิ่นและอาจใช้แป้งเป็นส่วนประกอบ ทำให้เกิดการบูดเสียได้ จึงต้องใส่สารกันเสียป้องกัน

            สารกันเสียที่ใช้สำหรับเครื่องสำอางมีหลายชนิด เช่น Bronopol (2-bromo-2-nitropropane-1,3-diol หรือ BNPD)      ฟอร์มาดีไฮด์ (formaldehyde) อิมิดาโซลิดินิลยูเรีย (imidazolidinyl urea)  เมทิลคลอโรไอโซไทอะโซลิโนน (methylisothiazolinone)  และ ฟีโนซีเอทานอล  (phenoxyethanol) EDTA (ethylene diamine tetreacetic acid) และสารกลุ่มพาราเบน (paraben)  ได้แก่  เมทิลพาราเบน (methyl paraben)  เอทิลพาราเบน (ethyl paraben) โพรพิลพาราเบน (propyl paraben) และ บิวทิลพาราเบน (butyl paraben)


กลไกการออกฤทธิ์

            พาราเบน เป็นสารเอสเทอร์ของกรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (para-hydroxybenzoic acid) ออกฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพแบบการยับยั้งเซลล์ (cytostatic activity) มากกว่าฆ่าเซลล์ (cytocidal activity) เมื่อใช้เดี่ยวๆ ออกฤทธิ์ต้านเชื้อราได้ดีมาก   แต่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้จำกัด และเมื่อใช้ร่วมกัน  เช่น  เมทิลพาราเบนร่วมกับโพรพิลพาราเบน จะออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ดีขึ้น โดยออกฤทธิ์ต่อเชื้อแกรมบวกดีกว่าแกรมลบ            ฤทธิ์การต้านเชื้อจะมีประสิทธิภาพดีที่ความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 3 - 8 ที่ความเป็นด่างมากกว่า 8 สารกลุ่มนี้ถูกไฮโดรไลซีสและหมดประสิทธิภาพการเป็นสารกันเสีย

            เมื่อเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านจุลชีพจากมากไปน้อยเป็นดังนี้ โพรพิลพาราเบน > เอทิลพาราเบน > เมทิลพาราเบน  โดยจากสูตรโครงสร้างโพรพิลพาราเบนมีสายคาร์บอนที่ยาวที่สุด จึงแพร่เข้าเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อจุลชีพได้ดีกว่า จึงออกฤทธิ์ดีกว่าพาราเบนอื่นๆ

ประโยชน์

            สารกลุ่มพาราเบน เป็นสารกันเสียที่ราคาไม่แพงและที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขเมื่อ ใส่ในปริมาณที่กำหนด  นิยมใช้กับเครื่องสำอางประเภท แชมพู ครีมนวดผม ครีมบำรุงผิวหน้า ครีมทำความสะอาด ครีมสำหรับเล็บ น้ำยาดัดผมถาวร และ ยาสีฟัน

            ปริมาณพาราเบนที่กำหนดไว้ได้แก่

            1. เมทิลพาราเบน (methyl paraben) ใส่ได้ไม่เกินร้อยละ 0.25 โดยน้ำหนัก 

            2. โพรพิลพาราเบน (propyl paraben) ใส่ได้ไม่เกินร้อยละ 0.25 โดยน้ำหนัก 

            3. เมทิลพาราเบน รวมกับโพรพิลพาราเบน ใส่ได้ไม่เกินร้อยละ 0.25 โดยน้ำหนัก

อาการแสดงและการวินิจฉัย

            กลุ่มศึกษาอาการผืนสัมผัสของอเมริกาเหนือ (North American Contact Dermatitis group) รายงานผลการศึกษาสารในเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ว่า สารกันเสียเป็นสารที่ทำให้ผู้ใช้เกิดการแพ้ ผื่นแพ้ และระคายเคือง (allergy irritation)  เป็นอันดับที่สองรองจากน้ำหอมหรือสารแต่งกลิ่นหอม (fragrances) ซึ่งสารกันเสียที่พบการแพ้ได้บ่อยได้แก่ พาราเบน ฟอร์มาลดีไฮด์ อิมิดาโซลิดินิลยูเรีย เมทิลคลอโรไอโซไทอะโซลิโนน และ ฟีโนซีเอทานอล

            ผื่นจากเครื่องสำอาง อาจแบ่งได้เป็น 4  ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่  ผื่นแพ้สัมผัส  Allergic contact dermatitis)    ผื่นระคายสัมผัส (Irritant contact dermatitis) ผื่นลมพิษสัมผัส (Contact urticaria) และสิวจากเครื่องสำอาง (Acne cosmetica)   ที่พบบ่อยคือ  ผื่นแพ้สัมผัสและผื่นระคายสัมผัส 

            การวินิจฉัย แพทย์ผิวหนังจะให้การวินิจฉัยว่าเป็นการระคายเคืองหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการทดสอบภูมิแพ้ โดยการปิดบนผิวหนัง (patch test) แล้วดูว่าเป็นการแพ้หรือไม่เสียก่อน เนื่องจากยังไม่มีการทดสอบการระคายเคืองทางตรง

ข้อควรระวัง


          สารกลุ่มพาราเบน      เป็นสารที่ค่อนข้างปลอดภัย     และไม่พบการก่อให้เกิดพิษอันตราย  อย่างไรก็ตาม  วารสารทางวิทยาศาสตร์รายงานผลการศึกษาในสัตว์ทดลองว่า เมื่อให้พาราเบนแก่หนูด้วยการรับประทาน        พาราเบนจะออกฤทธิ์เลียนแบบ   (mimic) ฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen)  ที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง  โดยกลไกการออกฤทธิ์พบว่าพาราเบนจะถูกเมแทบอไลส์       ด้วยปฏิกิริยาไฮโดรไลซี     สโดยเอนไซม์เอสเทอร์เรส (esterase enzyme)    ทำให้สูญเสียหมู่เอสเทอร์   ได้สารเมแทบอไลส์   คือ  กรดพารา
ไฮดรอกซีเบนโซอิก ที่สามารถจับกับ estrogen receptor ในร่างกาย 

          อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่าพาราเบนก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมในสตรี และมีบางการศึกษารายงานว่าการใช้เครื่องสำอางประเภทที่ใช้บริเวณผิวหนัง   เช่น  สเปรย์ฉีดร่างกาย หรือยาระงับกลิ่นกายที่มีพาราเบน  พบว่าพาราเบนดูดซึมผ่านผิวหนังต่ำมาก และถูกเมแทบอไลส์ด้วยเซลล์ที่ผิวหนังได้สารที่ไม่มีฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน  แม้ว่ายังมีรายงาน
ที่ขัดแย้งกัน  การใช้เครื่องสำอางที่มีพาราเบน ควรใช้อย่างระมัดระวัง เมื่อผู้ใช้เกิดผื่นแพ้ ควรหยุดการใช้เครื่องสำอางนั้นๆ ทันที และสังเกตว่าผื่นค่อยๆ หายไปหรือไม่

เอกสารอ้างอิง

พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535

Journal of Applied Toxicology vol 24, p. 5 available on http://www.organicconsumers.org./Journal 

reference

อารทรา ปัญญาปฏิภาณ ฟอร์มาลดีไฮด์ในเครื่องสำอางข่าวสารด้านยาและสุขภาพ ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 หน้า 14-18 

U. S. Food and Drug Administration FDA Consumer November 1991; revised May 1995
http://www.cfsan.fda.gov/~dms/cos-safe.html

M.G. Soni, I.G. Carabin and G.A. Burdock  Safety assessment of esters of p-hydroxybenzoic acid (parabens)  Food and Chemical Toxicology, Volume 43, Issue 7, July 2005, Pages 985-1015 

K. Morohoshi, H. Yamamoto, R. Kamata, F. Shiraishi, T. Koda and M. Morita Estrogenic activity of 37 components of commercial sunscreen lotions evaluated by in vitro assays.
Toxicology in Vitro, Volume 19, Issue 4, June 2005, Pages 457-469 

นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ ผื่นจากเครื่องสำอาง 
http://www.thaicosderm.org/public-info/cosmetic.htm

สบู่เด็ก

ในยุคปัจจุบัน มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายสำหรับเด็กจำหน่ายมากขึ้น  ซึ่งบริษัทผู้ผลิตหลายแห่ง   พยายามโฆษณาสรรพคุณของสินค้า   เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ใช้สินค้าของตนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดการค้าสบู่เด็กที่มีหลากหลายชนิด  และยี่ห้อ      ซึ่งได้มีการพัฒนาสบู่เด็กให้มีความปลอดภัยมากขึ้น    ควบคู่ไปกับสรรพคุณที่มีต่อผิวพรรณนอกเหนือไปจากการทำความสะอาดร่างกาย บริษัทผู้ผลิตสบู่เด็กหลายแห่ง จะไม่ใช้สารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายเด็ก เช่น sodium laurel sulfate สีสังเคราะห์ที่เป็นอันตราย  และสารกันบูดชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการเติมสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติบางชนิดที่มีประโยชน์ในการบำรุงผิวพรรณ หรือมีกลิ่นหอมลงไปด้วย  จากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการผลิตสบู่เด็ก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ควรเอาใจใส่กับการเลือกสรรสบู่ที่เหมาะสมและปลอดภัยกับลูกของตน  ในที่นี้ขอกล่าวถึงส่วนประกอบของสบู่เด็ก  ประโยชน์  ความเป็นพิษ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ข้อควรระวัง และการเก็บรักษาสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบในสบู่เด็ก
ส่วนประกอบของสบู่เด็ก

            ส่วนประกอบโดยทั่วไปในสบู่เด็ก    ได้แก่     calcium silicate,    carbomer,    citric acid, cocamidopropyl betaine,           decyl glucoside,          decyl polyglucose,           disodium cocamphodiacetate,     disodium lauroamphodiacetate,      glycerin,       glycol distearate, imidazolidinyl urea,   menthol, methylparaben,   PEG 7 glyceryl cocoate,   PEG-8 laurate,  PEG-25 soy sterol, PEG-30 glyceryl cocoate,  PEG-80 glyceryl cocoate, PEG 120 methyl glucose dioleate,   pentasodium pentetate,    propylene glycol,    polysorbate 20,   propyl paraben,    quaternium-15,     sodium chloride,     sodium hydroxide,    sodium laureth-13 carboxylate,    sodium laureth sulfate,   sodium sulfate,    sodium tallowate,    stearic acid, styrene และ tetrasodium EDTA เป็นต้น 

            สารเคมีดังกล่าวข้างต้นนี้ มีความเป็นพิษต่ำมาก หากใช้อย่างระมัดระวัง และถูกวิธีจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ    แต่หากนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือผิดวิธี   โดยเฉพาะการกลืนกินเขาไปจะก่อให้เกิดพิษแก่ร่างกายได้          

            โดยทั่วไปสบู่จะประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิว (surfactant)   ที่มีพิษต่ำ  แต่พิษจะมากขึ้นในกรณีของ sodium triphosphate เพราะเป็นสารเคมีที่จัดอยู่ในกลุ่ม low-phosphate group ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง   สารลดแรงตึงผิวจำพวก nonionic    จะระคายเคืองตาน้อยกว่าสารลดแรงตึงผิวจำพวก cationic ดังนั้นจึงเลือกใช้สารลดแรงตึงผิวจำพวก nonionic เป็นส่วนประกอบในสบู่เด็ก มีรายงานว่าสารลดแรงตึงผิวจำพวก   nonionic   เช่น   polysorbate 80 (Tween 80),  polyoxyethylene (20) oleyl ether, spans 20, 40, 85 และ Tween 20, 40, 81ที่ความเข้มข้น 1 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีผลระคายเคืองตา  มีรายงานว่าหากกลืนหรือกินสารลดแรงตึงผิวจำพวก nonionic เข้าไป  จะถูกขับถ่ายออกมาทางอุจาระมากกว่าปัสสาวะ ภายใน 24 ชั่วโมง           
       
            สำหรับเด็กที่มีผิวบอบบาง  และแพ้ง่าย    ควรใช้สบู่ที่ปราศจากสารก่อความระคายเคืองและน้ำหอม   ในปัจจุบันมีผู้ผลิตสบู่ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ  เช่น  wheat germ oil  (ซึ่งเป็นแหล่งของวิตามินอีจากธรรมชาติ),   olive oil,   coconut oil,   palm kernel oil,  castor oil,  almond oil  และ avocado oil   ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและปราศจากอันตราย  นอกจากนี้ยังมีการนำ colloidal oatmeal  มาผสมในสบู่เด็กเพื่อลดอาการผิวแห้ง แพ้คัน เป็นต้น  ในสบู่เด็กบางชนิดจะผสมกลิ่นหอมจากธรรมชาติ เช่น lavender และ chamomile เพื่อทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามีสารเคมีและสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติหลายชนิดผสมอยู่ในสบู่เด็ก   ซึ่งพ่อแม่ควรดูแลเอาใจใส่ต่อสารเคมีต่างๆ ที่ลูกน้อยต้องสัมผัสอยู่เป็นประจำ

            อย่างไรก็ตาม   ถึงแม้ว่าบริษัทผู้ผลิตจะกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีความปลอดภัยต่อผิวบอบบางของเด็กหรือใช้กับเด็กที่มีผิวแพ้ง่ายได้ก็ตาม   แต่ส่วนประกอบในสบู่บางชนิดก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้  หากนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ผิดวิธี หรือรับประทานเข้าไป  ในที่นี้ขอยกตัวอย่างสารเคมีในสบู่เด็กที่อาจก่อให้เกิดความเป็นพิษได้  เช่น  citric acid,  glycerin,  glycol,  menthol,  sodium chloride, sodium hydroxide, sodium laurel sulfate และ styrene เป็นต้น
 
ผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ

  ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนผู้บริโภคนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะทำให้เบาแรงในการทำความสะอาดมาก เหมือนกับที่โฆษณาว่าแค่ราดทิ้งไว้ แป๊บเดียวก็สะอาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางทีอาจใช้พร่ำเพรื่อโดยไม่จำเป็นก็ได้ ดังนั้นน่าจะมาทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำในเรื่องของสารเคมีที่ใช้ซึ่งโดยทั่วไปใช้กรดเกลือหรือชื่อทางเคมีว่ากรดไฮโดรคลอริกรวมถึงวิธีการใช้  ข้อควรระวังในการใช้ ความเป็นพิษ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนวิธีการเก็บรักษา

โครงสร้างทางเคมี

            โครงสร้างทางเคมีของกรดไฮโดรคลอริกหรือกรดเกลือ คือ HCl  ในผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำจะมีกรดไฮโดรคลอริกร้อยละ  8  ถึงร้อยละ 15  โดยน้ำหนัก และมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาด ชะล้างรอยเปื้อนภายใน 5 นาที  กรดไฮโดรคลอริกมีคุณสมบัติเป็นกรดแก่ ทำปฏิกิริยากับหินปูน(แคลเซียม) เกิดฟองฟู่ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสามารถกัดกร่อนโลหะได้เป็นอย่างดี จึงใช้ผสมทำความสะอาดห้องน้ำ เพื่อขจัดคราบที่เกิดจากการตกตะกอนของอนุภาค โลหะซึ่งเป็นคราบขาวเทา หรือคราบสนิมสีส้ม ตามผนังและพื้นห้องน้ำได้ นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอ่าง กระเบื้อง และโถส้วม 

            นอกจากนั้นอาจจะผสมกับกรดฟอสฟอริก และสารลดแรงตึงผิวเช่น Nonylphenol, Linear Alkyl Benzene Sulfonate (LAS)  เพื่อให้สารออกฤทธิ์สัมผัสกับพื้นผิวห้องน้ำได้ดีขึ้น และทำความสะอาดได้ทั่วถึงมากขึ้น  

            อย่างไรก็ตามถ้าใช้ผลิตภัณฑ์สูตรนี้บ่อยๆ อาจทำให้ผิวหน้าของพื้นห้องน้ำค่อย ๆ หลุดออก ซึ่งเมื่อใช้ไปเป็นเวลานานพื้นห้องน้ำอาจถูกกัดเซาะผิวหน้า ทำให้ขรุขระไม่เรียบมัน  และทำให้คราบสกปรกติดฝังแน่น ตรงรอยหยาบของผิวกระเบื้องได้มากขึ้น โดยทั่วไประยะเวลาของการถูกกัดเซาะนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของ ผิวกระเบื้องที่ใช้ปูพื้นด้วย

ประโยชน์  ใช้ทำความสะอาด  และฆ่าเชื้อโรคบริเวณพื้นห้องน้ำฝาผนัง  และเครื่องสุขภัณฑ์ เหมาะสำหรับคราบสกปรกมาก และคราบฝังแน่น

วิธีการใช้ (กรดไฮโดรคลอริก 15%)

            สำหรับการทำความสะอาด พื้นห้องน้ำ ผสมน้ำยากับน้ำในอัตราส่วน 1:2 (การผสมให้ค่อยๆ เทน้ำยาลงในน้ำ)

            สำหรับการทำความสะอาด โถส้วม ผสมน้ำยากับน้ำในอัตราส่วน 1:1

            สำหรับการฆ่าเชื้อโรค หลังทำความสะอาดแล้ว ผสมน้ำยากับน้ำในอัตราส่วน 1:2 เทราดลงบนพื้นบริเวณที่ต้องการฆ่าเชื้อ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            ห้ามเทน้ำลงในน้ำยาที่มีกรดไฮโดรคลอริก

ข้อควรระวังในการใช้

          - เมื่อต้องใช้ผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำที่มีกรดไฮโดรคลอริกเป็นส่วนประกอบ นอกจากจะใช้ให้เหมาะสมกับงานแล้ว ควรมีความระมัดระวังในการใช้และคำนึงถึงอันตรายที่อาจจะได้รับด้วย ดังนี้            

          - ขณะใช้ควรสวมถุงมือยาง และรองเท้ายาง ภายหลังจากการใช้หรือหยิบจับ ควรล้างถุงมือยาง รองเท้ายาง และมือด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้ง            

          - ระวังอย่าให้เข้าตา ถูกผิวหนัง หรือสูดดม และห้ารับประทาน            

          - ห้ามทิ้งผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำที่มีกรดไฮโดรคลอริก หรือภาชนะบรรจุลงในแม่น้ำ คูคลอง หล่งน้ำสาธารณะ เนื่องจากจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม

ความเป็นพิษ

            กรดไฮโดรคลอริกในผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ    สามารถเข้าสู่ร่างกายได้    โดยการสัมผัส การหายใจและการรับประทานหรือกลืนกิน โดยทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพดังนี้

            ถ้ากรดไฮโดรคลอริกถูกผิวหนังจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ บวม แดง เจ็บแสบและอาจทำให้เกิดผลเสียอย่างถาวรต่อผิวหนัง

            ไอระเหยหรือละอองไอของกรดไฮโดรคลอริกแม้ในปริมาณน้อยๆ ก็ทำให้เกิดการระคายเคืองตาได้ ทำให้ตาแดง ในความเข้มข้นสูงๆ ทำให้เกิดแผลไหม้หรือตาบอดได้

            การสูดดมไอระเหยของกรดไฮโดรคลอริกทำให้เกิดฤทธิ์กัดกร่อนระบบทางเดินหายใจ  ตั้งแต่แสบจมูก ลำคอ  ไปจนถึงหายใจลำบากได้  ถ้าสูดดมในปริมาณสูงๆ เป็นเวลานานอาจทำให้เป็นแผลไหม้ มีแผลอักเสบที่จมูกและลำคอ ปอดบวมน้ำและหายใจลำบาก

            การกลืนหรือกินจะทำให้เกิดการระคายเคือง  และแผลไหม้ที่ปาก  ลำคอ  ท่ออาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งมีผลทำให้เกิดมีอาการตั้งแต่กลืนลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง ชัก หรือถึงขั้นเสียชีวิต
 
การปฐมพยาบาล

            หากถูกผิวหนัง   ให้รีบล้างออกด้วยการรินน้ำผ่านเป็นปริมาณมากๆ   เป็นเวลาอย่างน้อย  15  นาที  ถ้าเปื้อนเสื้อผ้าให้รีบถอดออกแล้วล้างร่างกายด้วยน้ำและสบู่อ่อน   ส่วนเสื้อผ้าให้นำไปซักก่อนนำมากลับมาใช้ใหม่ ในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นให้รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์

            หากเข้าตา ให้รีบล้างออกจากตาโดยเร็ว ด้วยการรินน้ำอุ่นให้ไหลผ่านตาเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที  พร้อมเปิดเปลือกตาบนและล่างเป็นครั้งคราว  หากยังมีอาการระคายเคืองอยู่ให้นำผู้ป่วยไปพบแพทย์

            หากหายใจเข้าไป    ให้รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่สัมผัสมายังที่ซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์   ถ้ามีอาการรุนแรงให้ช่วยผายปอดและปั๊มหัวใจ แล้วรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์

            หากกลืนหรือกินเข้าไป ห้ามทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมา  ถ้ายังมีสติอยู่ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตามเข้าไปเป็นปริมาณมากๆ หรือให้ดื่มน้ำนมตามเข้าไปหลังจากดื่มน้ำเข้าไปแล้ว ล้างบริเวณปากผู้ป่วย และให้บ้วนปากด้วยน้ำ รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์โดยเร็วที่สุด พร้อมด้วยภาชนะบรรจุ และฉลากของผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ
 
การเก็บรักษา

            ควรแยกเก็บไว้ในที่มิดชิด เป็นสัดส่วนห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยง และอย่าเก็บรวมกับอาหารหรือวางปะปนกับอาหาร  นอกจากนี้ควรจัดเก็บในบริเวณที่แห้งไกลจากความร้อน แสงแดด เปลวไฟ วัตถุหรือสารไวไฟ  รวมถึงโลหะหนัก เนื่องจากกรดไฮโดรคลอริกสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะได้เป็นแก๊สไฮโดรเจนที่ติดไฟได้ง่าย  ซึ่งทำให้เกิดอัคคีภัยและการระเบิดได้ และเมื่อใช้หมดแล้วควรทิ้งหรือทำลายภาชนะบรรจุหรือทำลาย  ห้ามนำมาใส่อาหารหรือของบริโภคอื่น

บรรณานุกรม

1. กานดา ว่องไวลิขิต “ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรไหนดี” ,วารสารฉลาดซื้อ, ฉบับที่ 9,หน้า 42-44, 2538.

2. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/002498.htm (2.12.2009)

3. http://www.cahe.nmsu.edu (2.12.2009)

คลอรีน

คลอรีนเป็นก๊าซสีเขียวอมเหลือง    ที่มีกลิ่นไหม้ที่แรง  (sharp, burning odor)    ซึ่งมีการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมเคมี        การฟอกสี      น้ำดื่มและการฆ่าเชื้อในสระว่ายน้ำ  และน้ำยาทำความสะอาด สารฟอกสีที่คลอรีนที่ใช้ในครัวเรือน  มีปริมาณของคลอรีนที่น้อยมากแต่สามารถปลดปล่อยก๊าซคลอรีนถ้ามีการผสมกับ น้ำยาทำความสะอาดอื่นๆ

            ผงฟอกสี (Bleaching Powder)     เป็นผงที่ประกอบด้วย    แคลเซียมคลอไรด์   (calcium chloride)    และแคลเซียมไฮโปคลอไรท์ (calcium hypochlorite)    ลักษณะเป็นผงสีขาวหรือขาวปนเทา มีกลิ่นฉุนของคลอรีน  ละลายได้ในน้ำ  และอัลกอฮอล์ มีชื่ออื่นๆ ที่เรียกว่า chloride of lime หรือ chlorinated lime พิกัดความบริสุทธิ์ ของผงฟอกสี คือ ผงยาให้ chlorine ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

ชื่อทางเคมี :

            (Chemical Name): แคลเซียมไฮโปคลอไรท์ (calcium hypochlorite)

ชื่อพ้อง :

            (Synonyms): Calcium hypochloride; Hypochlorous Acid, Calcium Salt; Losantin; Hy-Chlor; Chlorinated lime; Lime chloride; Chloride of lime; Calcium oxychloride; Calciumhypochlorit (German); Hipoclorito de calcio (Spanish); Hypochlorite de calcium (French)

            หมายเลข CAS (CAS Number): 7778-54-3

            น้ำหนักโมเลกุล (molecular formula): 142.98

            สูตรเคมี (Chemical Formula): CaCl2O2

กลไกการรักษา

            แคลเซียม ไฮโปคลอไรท์  สลายตัวให้กรดไฮโปคลอรัส (hypochlorous acid) อย่างรวดเร็วในน้ำ ซึ่งกรดไฮโปคลอรัสเป็นรูปแบบที่ฆ่าเชื้อของคลอรีน (the killing form of chlorine) จึงนิยมใช้เป็นยาฆ่าเชื้อทั่วไป (general biocide) ในน้ำ

ประโยชน์ทางการรักษา

            ใช้ประโยชน์ในรูปสารละลายเป็นสารฟอกขาว ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ  ใช้เติมสระว่ายน้ำ (0.25 ถึง 1 ส่วนในล้านส่วน) ฆ่าเชื้อโรคในห้อง และใช้เป็นสารฟอกสี

ความเป็นพิษ

            Oral rat LD50: 850 mg/kg
 
อาการพิษ

        ระคายเคืองต่อระบบหายใจ ตา และผิวหนัง

ข้อควรระวัง

 - ควรใส่แว่นตา หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง                                                             
การเก็บรักษา

        เก็บในที่อากาศถ่ายเทสะดวก

บรรณานุกรม

1. http://www.thefreedictionary.com/bleaching+powder (24 Nov 09)

2. http://www.infoplease.com/ce6/sci/A0807876.html (24 Nov 09)

3. http://physchem.ox.ac.uk/MSDS/CA/calcium_hypochlorite.html (24 Nov 09)

น้ำยาล้างเล็บ


  ส่วนประกอบที่สำคัญของน้ำยาล้างเล็บคือ อะซีโตน หรือ Acetone โดย อะซีโตนเป็นตัวทำละลายอินทรีย์ ที่ไม่มีสี มีความเป็นพิษต่ำ ระเหยง่าย จึงมักถูกนำมาใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมและใช้ในงานด้านเภสัชกรรม  โดยอะซีโตนที่มีความเข้มข้นมากกว่า 80%  มีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อ (antiseptic) นอกจากนี้ อะซีโตนยังถูกสร้างขึ้นจากขนวนการเมตาโบลิซึมในร่างกาย โดยเป็นหนึ่งใน  Ketone bodies  ซึ่งพบในเลือด  เมื่อผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน (ketoacidosis)  จากภาวะเลือดเป็นกรดจากเบาหวาน (diabetic acidosis) หรือภาวะเลือดเป็นกรดจากการอดอาหาร (starvation acidosis) ซึ่งถ้ามีอะซีโตนในเลือดในปริมาณมาก จะสามารถได้กลิ่นอะซีโตนจากลมหายใจของ ผู้ป่วย

            แต่เนื่องจากในปัจจุบัน ได้มีการกวดขันเรื่องการใช้ยาเสพติดที่เป็นสารระเหย เช่น  กาว  ทินเนอร์ แลคเกอร์ มากขึ้น ทำให้วัยรุ่นที่ติดสารระเหยหันมาใช้ยาทาเล็บ และน้ำยาล้างเล็บ ซึ่งมีอะซีโตนเป็นองค์ประกอบหลัก หยดใส่สำลีหรือทามือแล้วสูดดมแทน เนื่องจากยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บหาซื้อได้ง่ายกว่า และมีความเสี่ยงต่อการถูกจับกุม   และดำเนินคดียากกว่าการดมกาว หรือ ทินเนอร์  นอกจากนี้การสูดดมอะซีโตนในความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทและ เกิดการเสพติดได้แช่นเดียวกับสารระเหยทั่วไป

ชื่อสารเคมี : อะซีโตน  Acetone

ชื่อพ้อง :  2-Propanone, beta-Ketopropane, Dimethyl ketone, Methyl Ketone, Aceton, Chevron acetone, Dimethylformaldehyde, Dimethylketal,  Ketone, dimethyl  ketone propane, Pyroacetic acid และ Pyroacetic ether

สูตรโครงสร้างทางเคมี  


C3H6O
   MW 58.08
     Log P = 0.2

กลไกการออกฤทธิ์

            อะซีโตนเป็นตัวทำละลายอินทรีย์มีความเป็นขั้วสูงและมีพิษต่ำ สามารถล้างสีทาเล็บ Route of Exposure และการเกิดพิษ

            อะซีโตนสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางผิวหนัง  การสูดดมและการกิน โดยอะซีโตนสามารถแพร่กระจายสู่ส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว  อะซีโตนจะถูกทำลายที่ตับและถูกกำจัดออกทางลมหายใจและปัสสาวะ โดยไม่มีการสะสมของสารในร่างกาย โดยปริมาณอะซีโตนในเลือดที่ทำให้พิษคือ 200 - 300 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรของเลือด  และถ้าได้รับอะซีโตนในปริมาณ 550 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรของเลือดจะทำให้เสียชีวิต

            เมื่อรับประทาน อะซีโตนจะทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่ของเยื่อบุทางเดินอาหาร  ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้   อาเจียน  นอกจากนี้ อะซีโตนยังถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหาร  และเยื่อบุทางเดินอาหาร  เข้าสู่กระแสเลือด  และทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทตามมา  การรับประทานอะซีโตนในปริมาณที่มากกว่า  50  มิลลิลิตร  (39.6 กรัม).  จะทำให้เกิดพิษของอะซีโตนอย่างเฉียบพลัน (Acute toxic effects)  ซึ่งทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท คล้ายกับการรับประทานเหล้า/เอธานอล ได้แก่ เดินโซเซ (ataxia)  ง่วงซึม (sedation) หมดสติ โคม่า และระบบทางเดินหายใจถูกกด (respiratory depression)   แต่อาการทางระบบประสาทที่เกิดจากการรับประทานอะซีโตน   จะเกิดขึ้นรวดเร็วกว่า การรับประทานเหล้า  นอกจากอาการดังกล่าวยังมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาเจียนและ hematemesis  ภาวะระดับน้ำตาล   และคีโตนในเลือดสูง   ภาวะเลือดเป็นกรด (acidosis)   และตับ และไตถูกทำลาย (hepatic and renal damage)  แต่ถ้าคนที่มีน้ำหนัก 67.5 กิโลกรัม  จะเสียชีวิตถ้าได้รับอะซีโตนในปริมาณที่มากกว่า 100  มิลลิลิตร (79.1 กรัม)   การรับประทานอะซีโตนไม่ทำให้เกิดพิษของอะซีโตนอย่างเรื้อรัง (Chronic toxic effects)

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

            ควรให้กินน้ำหรือนมมากๆ

            เมื่อสัมผัสอะซีโตน ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้  และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง แต่ถ้าเป็นการสัมผัสกับอะซีโตนต่อเนื่องเป็นเวลานาน   จะทำให้ผิวแห้ง  และเกิดการอักเสบของผิวตามมาเนื่องจาก  อะซีโตน  เป็นสารที่สามารถละลายไขมัน (defatting agent)   ถ้าอะซีโตนเข้าตาจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตา

            การสูดดมอะซีโตน  จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตา    เยื่อบุจมูก   และเยื่อบุทางเดินหายใจ   และทำให้เกิดการกดของระบบประสาท เช่นเดียวกับสารระเหย โดยการกดประสาทของอะซีโตนมีหลายระดับ ตั้งแต่การเปลี่ยนพฤติกรรมจนถึงการเสพติด ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณอะซีโตนที่ได้รับโดยถ้าได้รับในปริมาณไม่เกิน  237 ส่วนต่อล้านส่วน (574 มิลลิกรัมต่อลูกบากศก์เมตร) เป็นเวลา 4 ชั่วโมง  จะให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมเช่น ตื่นเต้น หงุดหงิด และ hostility  ถ้าได้รับในปริมาณมากถึง 250 ส่วนต่อล้านส่วน (605 มิลลิกรัมต่อลูกบากศก์เมตร) เป็นเวลา 5.25 ชั่วโมง  ระบบประสาทจะถูกกดมากขึ้นและทำให้เกิดอาการหมดแรงอ่อนเพลียและปวดศีรษะ  ถ้าได้รับในปริมาณตั้งแต่ ส่วนต่อล้านส่วน (1210 มิลลิกรัมต่อลูกบากศก์เมตร) ขึ้นไป เป็นเวลา  6 ชั่วโมง จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุต่างๆ  และถ้าได้รับอะซีโตน ในปริมาณที่สูงมากหรือมากกว่า > 29 กรัมต่อลูกบากศก์เมตรจะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ มึนงง สับสน และหมดสติ

            ถึงอย่างไรก็ตาม   อะซีโตนไม่ใช่สารก่อเกิดมะเร็ง  และไม่เหนี่ยวนำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ (teratogenic activity)
อาการแสดงและการวินิจฉัย

            อาการแสดงของการเกิดพิษ    ขึ้นกับลักษณะการได้รับอะซีโตนเข้าสู่ร่างกาย    ปริมาณของอะซีโตนที่ได้รับ และระยะเวลาที่ได้รับ

การเก็บรักษา

            เก็บให้พ้นมือเด็ก และไม่ควรเก็บใกล้ไฟ

บรรณานุกรม

http://risk.lsd.ornl.gov/tox/profiles/acetone.shtml

http://www.headlice.org/lindane/chemicals/acetone.htm

http://www.bu.edu/es/labsafety/ESMSDSs/MSAcetone.html

http://www.raklukefamilygroup.com



น้ำยาซักผ้าขาว



 นอกไปจากผงซักฟอก   หนึ่งในบรรดาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้า  ที่เหล่าคุณแม่บ้าน
ทั้งหลายน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็คงจะหนีไม่พ้น “น้ำยาซักผ้าขาว”

      หลาย ๆ ท่านคงจะเคยใช้น้ำยาซักผ้าขาวร่วมกับผงซักฟอก เพื่อเพิ่มพลังขจัดคราบสกปรกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคราบหมึกคราบอาหาร   คราบชากาแฟ  เพื่อให้เสื้อผ้าขาวสะอาดสดใส  ผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าขาวที่มีขายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปอยู่ในรูปของเหลวบรรจุขวดพลาสติกสวยงาม แต่คุณแม่บ้านเคยทราบหรือไม่ว่า   ผลิตภัณฑ์เหล่านี้   มีสารเคมีชนิดใดเป็นสารสำคัญ   ในการออกฤทธิ์ขจัดคราบ
ทำความสะอาดเสื้อผ้า และมีความปลอดภัยในการใช้เพียงใด

      สารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ    ในน้ำยาซักผ้าขาวที่ผู้ผลิตนิยมใช้คือ    “โซเดียมไฮโปคลอไรท์” ซึ่งนอกจะมีคุณสมบัติในการขจัดคราบเปื้อนและฟอกผ้าขาว  ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้ด้วย  ในบางกรณี  จึงมีการนำน้ำยาซักผ้าขาวมาใช้ประโยชน์เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับราดพื้น   เช่น ในช่วงเหตุการณ์สึนามิ     ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค     ได้แนะนำให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของโซเดียมไฮโปคลอไรท์  ความเข้มข้น 0.5 – 1% ราดบริเวณพื้นที่ต้องการฆ่าเชื้อ  รวมไปถึงทั้งการใช้ล้างพาหนะที่ขนย้ายผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตามต้องระวังการใช้กับวัตถุที่เป็นโลหะหนัก เช่น เหล็ก ทองแดง และ นิคเกิล เป็นต้น
โครงสร้างทางเคมีและกลไกการขจัดคราบ

      โซเดียมไฮโปคลอไรท์มีโครงสร้างทางเคมีคือ      NaOCl      ในน้ำยาซักผ้าขาวโซเดียมไฮโป
คลอไรท์ จะแตกตัวออกเป็น Na+ และ ClO-  ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นเกลือ NaOH และ HClO โซเดียมไฮโปคลอไรท์เป็นสารออกซิแดนท์ที่รุนแรงเกิดการปลดปล่อยแอคทีฟออกซิเจน [O] ที่เป็นตัวการในการฟอกขาวให้กับเสื้อผ้านั่นเอง

      ในผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าขาวบางชนิดอาจมีส่วนผสมของเกลือ   NaOH    อยู่ในผลิตภัณฑ์ด้วย
เพื่อทำให้สารมีความเป็นด่าง  เพราะในบางครั้ง  หากน้ำที่ใช้ตามบ้านมีความเป็นกรดเล็กน้อย จะไปทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮโปคลอไรท์ เกิดเป็นกาซคลอรีนซึ่งมีความเป็นพิษและยังลดประสิทธิภาพการทำงานของน้ำยาซักผ้าขาว การเติมเกลือ NaOH จึงจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีความคงตัวมากขึ้น

      อย่างไรก็ตามต้องระวังในแง่การใช้ เพราะการที่น้ำยาซักผ้าขาวมีความเป็นด่างสูงมากขึ้นจากการเติมเกลือดังกล่าว   ประกอบกับการมีโซเดียมไฮโปคลอไรท์  จะยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงขึ้น หากหกโดนเสื้อผ้าสวย ๆ โดยตรง อาจทำให้ขาดเป็นรูได้  จึงต้องอ่านฉลากแนะนำการใช้ให้ดีว่าควรต้องเจือจางด้วยน้ำในปริมาณเท่าใด
การใช้เป็นน้ำยาซักผ้าขาว

      สารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์ ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าขาวมีอยู่ประมาณ 3-6% ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตและระยะเวลาการเก็บ เนื่องจากโซเดียมไฮโปคลอไรท์ไม่ค่อยเสถียร เสื่อมสลายไปตามระยะเวลา โซเดียมไฮโปคลอไรท์ออกฤทธิ์ขจัดคราบเปื้อนออกจากเสื้อผ้าได้ดี โดยเฉพาะที่ทำจากผ้าฝ้าย  นอกจากนี้ยังจัดเป็นน้ำยาซักผ้าขาวเพียงชนิดเดียวที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียไปด้วยในตัวความเป็นพิษโซเดียมไฮโปคลอไรท์ในน้ำยาซักผ้าขาว  ไม่เพียงแต่จะมีความสามารถในการขจัดคราบเปื้อนบนเสื้อผ้าแล้ว       สารนี้ยังมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง     เป็นผลมาจากคุณสมบัติในการเป็นสาร
ออกซิแดนท์ที่แรง  ดังนั้นจึงต้องระวังการสัมผัสถูกผิวหนัง การกระเด็นเข้าตาหรือการสูดดมโดยตรงจากขวดผลิตภัณฑ์
อาการพิษ

      ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่าสารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์ที่อยู่ในน้ำยาซักผ้าขาว มีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรง คุณแม่บ้านที่นิยมใช้ผลิตภัณฑ์นี้ในการทำความสะอาดเสื้อผ้า ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะควรเก็บให้พ้นมือจากเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย    เพราะหากเผลอรับประทานเข้าไปแล้วจะ
เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุที่ปากและลำคอ ปวดท้องและแผลเปื่อยตามบริเวณทางเดินอาหาร

      ในกรณีที่หากเผลอเทหกจากขวดรดมือโดยตรง  อาจเกิดการระคายเคืองได้ปานกลางและมีผื่นแดงได้บ้าง  แต่หากกระเด็นเข้าตาแล้วจะเกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรง  หากสูดดมโดยตรงจะทำ
ให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกของทางเดินหายใจได้

      แต่ที่พอจะสบายใจได้ในระดับหนึ่ง  สำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์นี้คือ  ยังไม่มีรายงานการก่อมะเร็ง
โดยการใช้น้ำยาซักผ้าขาวที่มีโซเดียมไฮโปคลอไรท์เป็นองค์ประกอบ
ข้อควรระวัง

           - นอกเหนือไปจากการที่ต้องระวังการสัมผัสผลิตภัณฑ์โดยตรงแล้ว    หากในบ้านมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอื่น ๆ อยู่      ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่เทสารเหล่านี้ปนกัน โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ที่มีกรดเป็นองค์ประกอบ  เช่น  น้ำยาล้างห้องน้ำบางชนิด เพราะกรดจะทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮโปคลอไรท์  เกิดก๊าซคลอรีนในระหว่างการผสมและหากเกิดการสูดดมเข้าไปจะทำให้เกิดพิษ      ระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ       และยังทำให้ประสิทธิภาพในการขจัดคราบของน้ำยาซักผ้าขาวที่มีการปนเปื้อนของกรดนั้นลดลง    

           - นอกจากนี้  ยังต้องระวังการผสมกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอมโมเนียเป็นองค์ประกอบ  เช่น  ในน้ำยาเช็ดกระจก   เพราะจะทำให้เกิดกาซคลอรามีน (chloramine) ซึ่งมีความเป็นพิษเช่นกัน  และไม่ควรนำมาทำความสะอาดเสื้อผ้าที่เปื้อนปัสสาวะ  เพราะในปัสสาวะมีแอมโมเนียอยู่    

           - อย่างไรก็ตามก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ทุกครั้งควรอ่านฉลากการใช้ให้เข้าใจ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น

การปฐมพยาบาล

      หากคุณแม่บ้านหรือสมาชิกในบ้านเผลอตัวไปสัมผัสเข้าโดยตรง   ไม่ต้องตกใจให้รีบปฏิบัติดังนี้

      - ถ้าสัมผัสถูกผิวหนัง ให้ฉีดล้างผิวหนังด้วยน้ำปริมาณมากๆ

      - ถ้าสัมผัสถูกตา  ให้ฉีดล้างตาทันทีด้วยน้ำปริมาณมากอย่างน้อย 15 นาที   พร้อมกระพริบตาถี่ๆขณะทำการล้าง หากมีอาการรุนแรงให้นำส่งไปพบแพทย์

      - ถ้าหายใจเข้าไป  ให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกสู่บริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์  หากมีอาการรุนแรงให้นำส่งไปพบแพทย์

      - ถ้ากลืนหรือกินเข้าไป  ห้ามไม่ให้สิ่งใดเข้าปากผู้ป่วยที่หมดสติ   หากผู้ป่วยยังมีสติอยู่ให้ดื่มสารละลายโปรตีน  หรือถ้าไม่สามารถหาได้ก็ให้ดื่มน้ำปริมาณมากๆ   อย่าให้ผู้ป่วยดื่มน้ำส้ม  เบคกิงโซดา ยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด จากนั้นให้นำส่งไปพบแพทย์
การเก็บรักษา

      บางครั้งคุณแม่บ้านบางท่านอาจอยากเปลี่ยนขวดภาชนะบรรจุให้สวยงามขึ้น  ก็สามารถทำได้แต่ต้องถ่ายเก็บในภาชนะพลาสติกประเภท PVC อย่าถ่ายลงหรือเจือจางผสมน้ำในภาชนะประเภทโลหะหนัก  เช่น  กะละมังโลหะเพราะจะทำปฏิกิริยากันได้  นอกจากนี้ควรเก็บให้พ้นจากความร้อน แสงแดด เพราะผลิตภัณฑ์จะมีอายุการใช้งานและประสิทธิภาพต่ำลง

บรรณานุกรม

1. สุวรรณา เหลืองชลธาร (2543) เคมีอนินทรีย์ทางเภสัชศาสตร์ เล่ม 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ หน้า 154

2. Wikipedia, the Free Encyclopedia. Sodium hypochlorite. [Online URL:en.wikipedia.org/wiki/Sodium_hypochlorite] accessed on December 14, 2009.

3. ศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์. [Online URL:msds.pcd.go.th/searchName.asp?vID=203] accessed on December 14, 2009.

4. Sodium Hypochlorite. [Online URL:www.inchem.org/documents/pims/chemical/pim495.htm] accessed on December 14, 2009.

5. Sodium Hypochlorite. [Online URL:www.answers.com/topic/sodium-hypochlorite] accessed on December 14, 2009.

ที่มา : http://www.pharm.su.ac.th/cheminlife/cms/index.php/bath-room/sodium-hypochlorite.html
น้ำยายืดผม

 ปัจจุบันเครื่องสำอางมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุกคน   การยืดผมถาวรเพื่อความเป็นระเบียบของเส้นผม เส้นผมตรง ไม่เสียเวลาในการจัดแต่งทรงผม เป่าหรือไดร์หลังสระ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน  อย่างไรก็ตามอันตรายที่เกิดจากเครื่องสำอางก็อาจพบได้บ้างถึงแม้จะพบน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณ และจำนวนคนที่ใช้

หลักในการยืดผม

          ตามปกติเส้นผมที่มีสุขภาพดีมีค่า pH 4.5-5.5 ค่า pH   เป็นค่าที่บอกความเป็นกรด-ด่าง มีค่าตั้งแต่ 1-14 โดยที่ค่า pH 1 แสดงความเป็นกรดมากที่สุด ส่วนค่า pH 14 จะเป็นด่างมากที่สุด น้ำยาที่ใช้ยืดผม เรียกว่า รีแลกเซอร์ (relaxers) มีค่า pH 8.4-14   จึงมีคุณสมบัติที่ไปทำให้เส้นผมเปลี่ยนแปลงจากสภาวะที่เป็นกรดอ่อนๆ ไปเป็นด่าง  เป็นสาเหตุทำให้ผมแห้ง หยาบ  และเส้นผมอาจถึงกับแตกหรือขาดได้ ดังนั้นหลังจากยืดผมใหม่ๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แชมพูและครีมปรับสภาพผมเพื่อปรับสมดุล pH ของเส้นผม

          เมื่อทำการยืดผม น้ำยายืดผมจะแทรกซึมเข้าไปในชั้นกลาง (cortex) ของเส้นผมและเกิดการทำปฏิกิริยากับพันธะไดซัลไฟด์ (di-sulfide bonds) หรือพันธะซิสเตอีน (cysteine bonds) ซึ่งเป็นพันธะที่เชื่อมสายโซ่โปรตีนเข้าด้วยกัน  ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรง    และความคงตัวของโครงสร้างเส้นผม   ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเนื่องจากน้ำยายืดผมจะทำให้สายโซ่โปรตีนนี้แตกออก เส้นผมอ่อนตัวลงสามารถจัดรูปแบบใหม่ได้ตามต้องการ  และเมื่อทำการล้างน้ำยาออก กระบวนการต่อไปคือการทำให้เป็นกลางเพื่อปรับสภาวะผมให้มี  pH  เป็นปกติเกิดการซ่อมแซมสายโซ่โปรตีนที่แตกออกให้กลับมาเชื่อมกันมีความยืดหยุ่นและคงตัวตามเดิม ในรูปแบบใหม่ที่เส้นผมถูกทำให้ตรงไว้ ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดภายหลังนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปนานประมาณ   48   ชั่วโมงหลังจากรับบริการ    ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะสระผมในช่วงเวลานี้

          น้ำยายืดผม   มีสารที่ใช้อยู่   3   ชนิด   คือ    sodium hydroxide,     guanidine hydroxide  และ  ammonium thioglycolate

          โซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นรีแลกเซอร์ที่เป็นอันตราย   เนื่องจากมีความเป็นด่างแรงที่สุด มี pH 10-14  มีฤทธิ์กัด   ควรจะใช้กับเส้นผมที่หยิกมากๆ   ถ้าใช้ไม่ระมัดระวังอาจก่อให้เกิดอาการเจ็บแสบหนังศีรษะ เส้นผมแห้งและแตก

          ส่วนสาร guanidine hydroxide (ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นสารผสมระหว่าง calcium hydroxide และ guanidine carbonate)   และ ammonium thioglycolate  มี  pH 9-9.5   มีความแรงน้อยกว่าโซเดียมไฮดรอกไซด์

          ในปัจจุบันการยืดผมให้ตรง  จะใช้ความร้อนเข้าช่วยโดยใช้สาร    ammonium thioglycolate และแผ่นเหล็กเรียบ (flat iron)  ที่ความร้อนสูง 170-230  องศาเซลเซียส  ซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้เส้นผมยืดตรงอย่างถาวร อ่อนนุ่ม เป็นประกาย และไม่โค้งงอ หยิก ซึ่งเส้นผมที่จะทำการยืดตรงนี้ควรมีความยาวอย่างน้อยสี่นิ้ว  เวลาที่ใช้ในการทำทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมงสำหรับผมสั้น ส่วนผมยาวจะใช้เวลานาน 4-5 ชั่วโมง   เนื่องจากใช้เวลานาน   ค่าบริการจึงแพง   อย่างไรก็ตามควรมีการทำซ้ำทุก 6 เดือน เนื่องจากผมที่งอกยาวขึ้นมาใหม่

          นอกจากนี้ไม่ควรสระผมเป็นเวลาอย่างน้อย     48   ชั่วโมง     หลังจากเข้ารับบริการ   ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปรับสมดุล  pH  และยังไม่แนะนำให้ทำการกัดสีผมหรือทำไฮไลท์เส้นผมหลังจากทำการยืดผม
ข้อควรระวัง          

          การไปใช้บริการยืดผมตรง     ควรเลือกช่างที่มีประสบการณ์    เลือกน้ำยาที่เหมาะกับสภาพเส้นผม  และเช็คหนังศีรษะว่ามีแผลหรือไม่ มักพบอาการแพ้เป็นผื่นระคายสัมผัสในช่างทำผม    มากกว่าคนที่ถูกยืดผม   โดยมักจะมีจมูกเล็บอักเสบ   และเล็บเสียรูป เพื่อความปลอดภัยในการใช้ จึงควรมีข้อระวัง ดังนี้

          1. ระวังอย่าให้เข้าตา เพราะอาจทำให้ตาบอดได้

          2. ต้องหยุดใช้ และล้างออกด้วยน้ำทันที เมื่อมีอาการคันปวดแสบ ปวดร้อนบริเวณที่ใช้ และที่ถูกน้ำยา หรือมีเม็ดผื่นแดง

          3. ห้ามเกาศีรษะอย่างแรงในระหว่างสระ    เพราะอาจเกิดรอยถลอก   เป็นแผลหรือเม็ดผื่นแดง

          4. ห้ามใช้เมื่อหนังศีรษะมีรอยถลอก เป็นแผล หรือโรคผิวหนัง

หมายเหตุ  การยืดผมใช้หลักการและสารเคมีเช่นเดียวกับการดัดผมให้เป็นลอน แต่ต่างกันตรงที่การยืดผมเป็นการดัดผมที่หยิกให้กลับตรง


สารเคมีที่ใช้ในน้ำยายืดผม

Ammonium thioglycolate

ชื่อพ้อง  ได้แก่ Ammonium mercaptoacetate; Acetic acid,mercapto-,monoammonium salt; Thioglycollic acid,ammonium salt; Ammonium thioglycolate,60% Aqueous Soln.

สูตรเคมี  C2H4O2S.H3N   มีน้ำหนักโมเลกุล  109.15
          Ammonium thioglycolate เป็นของเหลวไม่มีสี หรืออาจมีสีชมพูอ่อนๆ จัดเป็นประเภทสารที่ใช้ในการจัดแต่งทรงผมเพื่อดัด    หรือยืดผม    ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับยืดผมมีความเข้มข้นในช่วง 5-10%  แต่อาจมีบางผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นถึง 25-50% นอกจากนี้ Ammonium thioglycolate ยังอาจใช้ในการทำสีผมถาวร ที่ความเข้มข้น 0.25% เพื่อใช้เป็นสารต้านออกซิเดชันเพิ่มความคงตัว
ความเป็นพิษ

          เนื่องจากมีความเป็นด่างสูง  จึงไม่สามารถใช้วิธีที่เรียกว่า Patch Test ซึ่งเป็นวิธีการทดสอบการแพ้ที่ผิวหนังก่อนการใช้สารได้ สารนี้ทำให้เกิดระคายเคืองเป็นผื่นแพ้เมื่อสัมผัสผิวหนัง (contact dermatitis)   ซึ่งมักเกิดเมื่อใช้ในปริมาณที่มีความเข้มข้นเกินขนาด   หรือใช้เป็นเวลานานพอสมควร เป็นพิษหากเข้าตา ดังนั้นจึงต้องป้องกันการสัมผัสกับสารละลายนี้ที่ผิวหนังและตาในทุกกรณี อาการแพ้ที่พบ ได้แก่ ผื่นแดง ผิวหนังอักเสบ แสบร้อน หากโดนตาทำให้เยื่อบุตาอักเสบ ตาบวม หากสูดดมทำให้ไอ จาม วิงเวียนและหายใจไม่ออก
การปฐมพยาบาล

          หากเข้าตาให้ล้างออกด้วยน้ำนานอย่างน้อย   15   นาที  และถ้าเกิดเยื่อบุตาอักเสบ  ตาบวม น้ำตาไหล   ควรรีบให้อยู่ในความดูแลของจักษุแพทย์  หากโดนผิวหนังให้เปลี่ยนเสื้อผ้านั้นออกและล้างด้วยน้ำและสบู่ ผิวหนัง และให้อยู่ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท
   
บรรณานุกรม

Bisphenol A. Wikipedia, the Encyclopedia
[Online http://en.wikipedia.org/wiki/Bisphenol_A] accessed on August 23, 2007.

Bisphenol A
[Online http://msds.pcd.go.th/searchName.asp?vID=1548] accessed on August 23, 2007.

Toxic chemical threatens children’s health
[Online http://www.wwf.org.uk/news/n_0000000145.asp] accessed on August 23, 2007.

Bisphenol A
[Online http://website.lineone.net/~mwarhurst/bisphenol.html] accessed on August 23, 2007.

What are endocrine disruptors?
[Online http://www.sph.emory.edu/PEHSU/html/exposures/endocrine.htm] accessed on August 23, 2007.

The Bisphenol-A Debate: A Suspect Chemical in Plastic Bottles and Cans by Catherine Zandonella, M.P.H
[online http://www.thegreenguide.com/doc/114/bpa] accessed on August 23, 2007.

Legislature considers bill to ban chemical from kids’ products. Bisphenol A found in pacifiers, toys and baby bottles. By Jane Kay, Chronicle Environment Writer, on Thursday, March 31, 2005
[online http://sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?f=/c/a/2005/03/31/BAGIOC13FM1.DTL] accessed on August 23, 2007.

ที่มา : http://www.pharm.su.ac.th/cheminlife/cms/index.php/bath-room/ammonium-thioglycolate.html

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555


กรดเบนโซอิก (benzoic acid)


กรดเบนโซอิก (benzoic acid)    เป็นสารถนอมอาหาร หรือสารกันเสีย   หรือสารกันบูด (preservative agent) ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร และในปัจจุบันยังใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอางและยาด้วย  ในธรรมชาติกรดเบนโซอิก  ผลิตได้จากผลไม้ประเภทเบอรี่ พรุน และกานพลู


            กรดเบนโซอิกจัดเป็นวัตถุเจือปนอาหาร ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิก หรือเกลือของกรดเบนโซอิก เช่น โซเดียมเบนโซเอตหรือโพแทสเซียมเบนโซเอต ในอาหารบางประเภท โดยกำหนดปริมาณสูงสุดที่ให้ใช้กรดเบนโซอิกได้ (มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) เช่น ขนมหวานที่ทำจากนม เช่น ไอศกรีม พุดดิ้ง โยเกิร์ตปรุงแต่งหรือผสมผลไม้ (300 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) ผลิตภัณฑ์ผักหรือสาหร่ายในน้ำส้มสายชู น้ำเกลือ หรือซีอิ๊ว (2,000 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผักบด ถั่วบด หรือเมล็ดพืชบด เช่น ซอสผัก ผักกวนหรือแช่อิ่ม (3,000 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) ซุปและซุปใส (500 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) และสำหรับเครื่องดื่มเช่น น้ำผลไม้คั้น น้ำอัดลม ต้องไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัมเท่านั้น สำหรับอาหารประเภทอื่น เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผักและผลไม้ เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง แยม เยลลี่ ผลิตภัณฑ์เนย ผลิตภัณฑ์ขนมอบต่างๆ และผลิตภัณฑ์อาหารประเภทผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปบางประเภท เช่น หมูยอ กำหนดปริมาณสูงสุดคือ 1,000 มิลลิกรัมของกรดเบนโซอิกต่อ 1 กิโลกรัมของน้ำหนักอาหาร


            ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา      กระทรวงสาธารณสุข      ยังตรวจพบกรดเบนโซอิกในอาหารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ เช่น เส้นก๋วยเตี๊ยวทั้งเส้นสดและแห้ง ไส้กรอกหมูและไก่ และ เครื่องแกง และตรวจพบในอาหารที่อนุญาตให้ใช้ในปริมาณที่เกินกว่าปริมาณสูงสุดที่กำหนด




โครงสร้างทางเคมีและกลไกการออกฤทธิ์  


            กรดเบนโซอิก มีชื่ออื่นๆ ได้แก่ Benzenecarboxylic acid, carboxybenzene phenylcarboxylic acid หรือ Dracylic acid มีลักษณะเป็นผงผลึกหรือผงละเอียด ไม่มีสี ละลายน้ำได้เล็กน้อย ละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น เมทานอล และ อีเทอร์ มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน เกลือโซเดียมเบนโซเอตละลายน้ำได้ดีกว่า จึงนิยมใช้มากกว่า



กรดเบนโซอิกออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ เช่น รา ยีสต์ และแบคทีเรีย โดยจุลินทรีย์จะดูดซึมกรดเข้าไปในเซลล์ทำ  ให้กระบวนการแทรกซึมของอาหาร  เข้าไปในเซลล์ของจุลินทรีย์ผิดปกติไป  ในขณะเดียวกันจะยับยั้งการสร้างเอนไซม์บางชนิดและปฏิกิริยาการทำงานของเอนไซม์ เช่น ฟอสโฟฟรุตโตไคเนส (phosphofructokinase enzyme) ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพของจุลินทรีย์ทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้

            กรดเบนโซอิกมีประสิทธิภาพสูงที่สุดที่ช่วงความเป็นกรดด่างระหว่าง 2.5-4.0 ถ้ามากกว่า 5 ไม่สามารถถนอมอาหารได้ ดังนั้นอาหารบางประเภทที่เป็นด่างอ่อนหรือเป็นกลางจึงไม่ควรใช้กรดนี้ เช่น หมูยอ ซึ่งมีรายงานการศึกษาว่ากรดเบนโซอิกมีประสิทธิภาพต่ำมากในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์

ความเป็นพิษ

            กรดเบนโซอิกรวมทั้งเกลือเบนโซเอตผ่านการประเมินความปลอดภัยทางพิษวิทยาว่ามีความเป็นพิษต่ำ มีความปลอดภัยสูงและไม่ได้อยู่ในรายชื่อของสารก่อมะเร็ง จึงนำมาใช้ในการผลิตอาหารได้ และ The Joint FAO/WHO Expert Committee of Food Additives (JECFA) กำหนดค่าความปลอดภัยหรือค่า Acceptable Daily Intake (ADI) ซึ่งเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถรับสารนั้นได้ต่อวันตลอดชั่วชีวิตโดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อสุขภาพ ไว้ที่ 0 - 5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน 

อาการพิษ

            อย่างไรก็ตามถ้าได้รับกรดเบนโซอิกในปริมาณที่สูงมากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย อาการเลือดตกใน อัมพาต และมีรายงานการศึกษาถึงผลของกรดนี้ต่อการเพิ่มอาการสมาธิสั้นในเด็กด้วย และถ้าได้รับเกิน 6 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมอาจเสียชีวิตได้


ข้อควรระวัง

            สารนี้มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับกรดเบนโซอิก อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและตาได้


การเก็บรักษา

            ตามวิธีที่ระบุไว้บนฉลากของแต่ละผลิตภัณฑ์



 


ที่มา: http://www.youtube.com/watch?v=kpX-4FpG52A

ยาสีฟัน



ยาสีฟันหมายถึงสารที่ใช้ทำความสะอาดฟันและลิ้น เพื่อรักษาสุชอนามัยในช่องปาก โดยทั่วไปยาสีฟันมักมีการแต่งสี กลิ่นและรสชาดเพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกสดชื่นฟันสะอาด ยาสีฟันถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอียิปต์โบราณ โดยทำมาจากส่วนผสมของดอกไอริส (iris flowers)  จากนั้นชาวกรีกและชาวโรมันได้มีการพัฒนาสูตรยาสีฟันโดยการเติมสารขัดฟัน (abrasive) เช่น กระดูกป่น หรือเปลือกหอยลงไปในยาสีฟันด้วย ต่อมาช่วงราวศตวรรษที่ 18 ยาสีฟันสูตรอเมริกันและอังกฤษที่ที่มีส่วนผสมของขนมปังเผาอยู่ด้วยก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีสูตรยาสีฟันที่มีส่วนผสมของยางต้นไม้ อบเชย และอะลูมินาเผาด้วย  แต่การใช้ยาสีฟันยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนกระทั่งในศตวรรษที่19 ประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง บริษัทคอลเกตได้คิดค้นยาสีฟันแบบครีมบรรจุในหลอดบีบเพื่อจำหน่ายเป็นครั้งแรก (1)


            ใน ค.ศ.1914 เริ่มมีการเติมฟลูออไรด์ลงในยาสีฟันแต่ยังไม่มีการรับรองถึงประสิทธิผลในการป้องกันฟันผุจากสมาคมทันตกรรมของอเมริกา จนกระทั่งในค.ศ.1950 บริษัท Procter & Gamble ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลในการป้องกันฟันผุของยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์  และได้การรับรองจากสมาคมทันตกรรมอเมริกา


          ปริมาณฟลูออไรด์ในยาสีฟันที่สามารถป้องกันฟันผุ มีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ   สำหรับประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้กำหนดให้ฟลูออไรด์ที่ผสมในยาสีฟันมีปริมาณได้ไม่เกิน 0.11%หรือ 1,100 ส่วนในล้านส่วน (ppm) และจัดประเภทยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เป็นเครื่องสำอางคุมพิเศษ (2)


ส่วนประกอบในยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ (3, 4)


1. ฟลูออไรด์ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญซึ่งช่วยป้องกันฟันผุ โดยทำหน้าที่เคลือบฟัน ป้องกันการกัดกร่อนของกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย รวมทั้งกรดในอาหารด้วย รูปแบบของฟลูออไรด์ที่ใช้ผสมในยาสีฟันมี 2 ชนิด คือ โซเดียมฟลูออไรด์ (NaF)และ โซเดียม โมโนฟลูออโรฟอสเฟต (Na2PO3F) ซึ่งในแต่ละผลิดภัณฑ์จะมีสัดส่วนของฟลูออไรด์ทั้งสองต่างๆ กัน หรืออาจใช้เพียงชนิดเดียวก็ได้ แต่จะมีปริมาณฟลูออไรด์ได้ไม่เกิน 1,100 ppm ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด ซึ่งยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ส่วนใหญ่จะมีปริมาณฟลูออไรด์ 1,000 ppm


2. สารขัดฟัน (Abrasives) ช่วยขจัดคราบอาหารและคราบหินปูนที่เกาะอยู่บนฟัน โดยทั่วไปนิยมใช้สารที่มีลักษณะเป็นผงละเอียด ยาสีฟันควรมีสารขัดฟันมากพอที่จะกำจัดคราบอาหารและคราบหินปูน แต่ถ้าใช้มากเกินไปก็อาจจะทำลายเคลือบฟันของเราได้ สารขัดฟันที่นิยมใช้กันได้แก่ แคลเซียมฟอสเฟต (Ca2 (PO4)3) ไดแคลเซียมฟอสเฟตไดไฮเดรต (CaHPO4?2H2O) แมกเนเซียมไฮดรอกไซด์ (Mg(OH)2) อะลูมิเนียมออกไซด์ไฮเดรต (Al2O3.H2O)   แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) หรือ ซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) เป็นต้น


3. สารชำระล้าง (Detergents) ช่วยทำให้เกิดฟองและไม่ทำให้ยาสีฟันไหลออกจากปากขณะแปรงฟัน  สารเคมีที่ใช้โดยทั่วไปคือ โซเดียมลอริลซัลเฟต


4. สารเพิ่มความชื้น (Humectants) ช่วยทำให้ยาสีฟันมีรสสัมผัสของความชื้นไม่แห้งแข็ง สารเคมีที่ใช้โดยทั่วไปคือ กลีเซอรีน (glycerin) ซอร์บิทอล (sorbitol) และน้ำ นอกจากนี้ซอร์บิทอลยังทำให้ยาสีฟันมีรสหวาน ซึ่งอาจทำให้เด็กกลืนกินเข้าไปได้


5. สารเพิ่มความข้นหนืด (Thickeners) ช่วยเพิ่มความข้นหนืดให้แก่ยาสีฟัน สารเคมีในกลุ่มนี้ได้แก่ คาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (carboxy methyl cellulose) และ คาราจีแนน (carragenan)


6. สารกันเสีย (Preservatives) ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ในยาสีฟัน สารเคมีในกลุ่มนี้ได้แก่ โซเดียมเบ็นโซเอท (sodium benzoate) เอทิลพาราเบน (ethyl paraben) เมทิลพาราเบน (methyl paraben) ไทรโคซาน (triclosan) เป็นต้น


วิธีใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์


            ปริมาณยาสีฟันที่พอเหมาะในแต่ละช่วงอายุคือ


                       เด็กอายุ 6 เดือน - 1 ปีครึ่ง ให้มีปริมาณยาสีฟัน แตะแต่เพียงพอชื้น


                       เด็กอายุ1ปีครึ่ง – 3 ปี
ให้มีปริมาณยาสีฟัน
เท่าเมล็ดถั่วเขียว


                       เด็กอายุ 3 ปี
ให้มีปริมาณยาสีฟัน เท่าเมล็ดข้าวโพด


                       เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป – ผู้ใหญ่
ให้มีปริมาณยาสีฟัน ครึ่งเซ็นติเมตร
            และควรใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และแปรงฟันให้นานครั้งละ 1 – 2 นาทีขึ้นไป     เพื่อให้ฟลูออไรด์จากยาสีฟันสัมผัสกับผิวฟันเป็นเวลานานพอ     จึงจะเกิดผลในการป้องกันฟันผุได้เต็มที่


ข้อมูลความปลอดภัย


            การกลืนยาสีฟันเข้าไปอาจทำให้คลื่นไส้    อาเจียนและท้องเสียได้ (1)    หรือ   หากได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้ฟันตกกระ (dental fluorosis)  ในกรณีที่รุนแรง ฟันจะเกิดเป็นรอยสีน้ำตาล ผิวฟันจะขรุขระ เป็นจุดและทำความสะอาดได้ยาก โดยเฉพาะจะเกิดปัญหากับฟันแท้ของเด็กเมื่อเด็กบริโภคฟลูออไรด์มากเกินไปในช่วงก่อนอายุ 6 ขวบ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังไม่ให้เด็กกินหรือกลืนยาสีฟันเข้าไปในขณะที่แปรงฟัน


วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

ก้อนดับกลิ่น(Deodorant)



มีสารสำคัญที่นิยมใช้  คือ   p-dichlorobenzene   ซึ่งตาม  พรบ. วัตถุอันตราย  จัดเป็นวัตถุอันตรายประเภท 3  แต่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย  เมื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือน หรือทางสาธารณสุขที่นำมาใช้เพื่อประโยชน์เพื่อระงับ ป้องกัน ควบคุม ไล่ กำจัดแมลงและสัตว์อื่น หรือเพื่อประโยชน์ในการดับกลิ่น



ชื่อพ้อง  

            1,4-Dichlorobenzene; PARA; para-Dichlorobenzene; p-dichlorobenzol; p-chlorophenyl chloride; Paracide; Paradow; Paramoth; paranuggets; Para-zene; Dichlorobenzene, 1,4- ; Dichlorocide; dichloricide; DCB; Evola; globol; PDB; PDCB; persia-perazol; santochlor
ประโยชน์

            - ใช้ในการป้องกันควบคุม ไล่ กำจัดแมลง และสัตว์ อื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการดับกลิ่น

            - สารนี้ใช้เป็นสารวิเคราะห์และทดสอบ (Reagent) ทางเคมีในห้องปฏิบัติการ
กลไกการออกฤทธิ์

            เนื่องจากคุณสมบัติสามารถระเหิดกลายเป็นไอย่างช้าๆ  และไอที่เกิดขึ้นจะทำหน้าที่ดับกลิ่น หรือฆ่าแมลง          
ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายที่ได้รับ

            - เป็นพิษอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ, อาจก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวต่อสภาวะแวดล้อมในน้ำและเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

            - ถ้าหายใจเข้ามากไปทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้  อาเจียน  เวียนศีรษะ  เซื่องซึม  ทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนและกดระบบประสาทส่วนกลาง หมดสติ 

            - หากกลืนหรือกินเข้าไปทำให้ปวดศีรษะ   มีอาการอาเจียน   มึนงง   ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ สารที่ทำให้ระคายเคืองต่อตาและผิวหนัง
การเกิดพิษ

            - พิษเฉียบพลัน  LD50 (oral, rat): < 2000 mg/kg

            - ความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันถึงเรื้อรัง    ไม่ส่งผลกระทบที่เป็นพิษต่อทารกในครรภ์    ภายใต้ปริมาณความเข้มข้นที่ยอมให้มีได้

การปฐมพยาบาล

เมื่อสูดดมสารในปริมาณมาก

            ถ้าสูดดมเข้าไป,    ให้ย้ายผู้ป่วยไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์    ถ้าไม่หายใจ   ให้การช่วยหายใจ  ถ้าหายใจลำบากให้ออกซิเจน
เมื่อสัมผัสสาร

            ในกรณีที่ถูกผิวหนัง,       ให้ล้างออกด้วยน้ำปริมาณมาก      เป็นเวลาอย่างน้อย   15  นาที ถอดเสื้อและรองเท้าที่เปื้อนสาร  ไปพบแพทย์
เมื่อสารเข้าตา

            ในกรณีที่เข้าตา     ให้ล้างด้วยน้ำปริมาณมาก     เป็นเวลาอย่างน้อย    15 นาที   ต้องแน่ใจว่าได้ล้างตาอย่างเพียงพอ โดยใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออกจากกันระหว่างล้าง  ไปพบแพทย์
เมื่อกลืนกิน

            เมื่อกลืนกิน ให้ใช้น้ำบ้วนปากในกรณีที่ผู้ป่วยที่ยังมีสติอยู่  ไปพบแพทย์ ศูนย์คอมพิวเตอร์