วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555


กรดเบนโซอิก (benzoic acid)


กรดเบนโซอิก (benzoic acid)    เป็นสารถนอมอาหาร หรือสารกันเสีย   หรือสารกันบูด (preservative agent) ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร และในปัจจุบันยังใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอางและยาด้วย  ในธรรมชาติกรดเบนโซอิก  ผลิตได้จากผลไม้ประเภทเบอรี่ พรุน และกานพลู


            กรดเบนโซอิกจัดเป็นวัตถุเจือปนอาหาร ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิก หรือเกลือของกรดเบนโซอิก เช่น โซเดียมเบนโซเอตหรือโพแทสเซียมเบนโซเอต ในอาหารบางประเภท โดยกำหนดปริมาณสูงสุดที่ให้ใช้กรดเบนโซอิกได้ (มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) เช่น ขนมหวานที่ทำจากนม เช่น ไอศกรีม พุดดิ้ง โยเกิร์ตปรุงแต่งหรือผสมผลไม้ (300 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) ผลิตภัณฑ์ผักหรือสาหร่ายในน้ำส้มสายชู น้ำเกลือ หรือซีอิ๊ว (2,000 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผักบด ถั่วบด หรือเมล็ดพืชบด เช่น ซอสผัก ผักกวนหรือแช่อิ่ม (3,000 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) ซุปและซุปใส (500 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม) และสำหรับเครื่องดื่มเช่น น้ำผลไม้คั้น น้ำอัดลม ต้องไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัมเท่านั้น สำหรับอาหารประเภทอื่น เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผักและผลไม้ เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง แยม เยลลี่ ผลิตภัณฑ์เนย ผลิตภัณฑ์ขนมอบต่างๆ และผลิตภัณฑ์อาหารประเภทผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปบางประเภท เช่น หมูยอ กำหนดปริมาณสูงสุดคือ 1,000 มิลลิกรัมของกรดเบนโซอิกต่อ 1 กิโลกรัมของน้ำหนักอาหาร


            ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา      กระทรวงสาธารณสุข      ยังตรวจพบกรดเบนโซอิกในอาหารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ เช่น เส้นก๋วยเตี๊ยวทั้งเส้นสดและแห้ง ไส้กรอกหมูและไก่ และ เครื่องแกง และตรวจพบในอาหารที่อนุญาตให้ใช้ในปริมาณที่เกินกว่าปริมาณสูงสุดที่กำหนด




โครงสร้างทางเคมีและกลไกการออกฤทธิ์  


            กรดเบนโซอิก มีชื่ออื่นๆ ได้แก่ Benzenecarboxylic acid, carboxybenzene phenylcarboxylic acid หรือ Dracylic acid มีลักษณะเป็นผงผลึกหรือผงละเอียด ไม่มีสี ละลายน้ำได้เล็กน้อย ละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น เมทานอล และ อีเทอร์ มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน เกลือโซเดียมเบนโซเอตละลายน้ำได้ดีกว่า จึงนิยมใช้มากกว่า



กรดเบนโซอิกออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ เช่น รา ยีสต์ และแบคทีเรีย โดยจุลินทรีย์จะดูดซึมกรดเข้าไปในเซลล์ทำ  ให้กระบวนการแทรกซึมของอาหาร  เข้าไปในเซลล์ของจุลินทรีย์ผิดปกติไป  ในขณะเดียวกันจะยับยั้งการสร้างเอนไซม์บางชนิดและปฏิกิริยาการทำงานของเอนไซม์ เช่น ฟอสโฟฟรุตโตไคเนส (phosphofructokinase enzyme) ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพของจุลินทรีย์ทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้

            กรดเบนโซอิกมีประสิทธิภาพสูงที่สุดที่ช่วงความเป็นกรดด่างระหว่าง 2.5-4.0 ถ้ามากกว่า 5 ไม่สามารถถนอมอาหารได้ ดังนั้นอาหารบางประเภทที่เป็นด่างอ่อนหรือเป็นกลางจึงไม่ควรใช้กรดนี้ เช่น หมูยอ ซึ่งมีรายงานการศึกษาว่ากรดเบนโซอิกมีประสิทธิภาพต่ำมากในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์

ความเป็นพิษ

            กรดเบนโซอิกรวมทั้งเกลือเบนโซเอตผ่านการประเมินความปลอดภัยทางพิษวิทยาว่ามีความเป็นพิษต่ำ มีความปลอดภัยสูงและไม่ได้อยู่ในรายชื่อของสารก่อมะเร็ง จึงนำมาใช้ในการผลิตอาหารได้ และ The Joint FAO/WHO Expert Committee of Food Additives (JECFA) กำหนดค่าความปลอดภัยหรือค่า Acceptable Daily Intake (ADI) ซึ่งเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถรับสารนั้นได้ต่อวันตลอดชั่วชีวิตโดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อสุขภาพ ไว้ที่ 0 - 5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน 

อาการพิษ

            อย่างไรก็ตามถ้าได้รับกรดเบนโซอิกในปริมาณที่สูงมากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย อาการเลือดตกใน อัมพาต และมีรายงานการศึกษาถึงผลของกรดนี้ต่อการเพิ่มอาการสมาธิสั้นในเด็กด้วย และถ้าได้รับเกิน 6 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมอาจเสียชีวิตได้


ข้อควรระวัง

            สารนี้มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับกรดเบนโซอิก อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและตาได้


การเก็บรักษา

            ตามวิธีที่ระบุไว้บนฉลากของแต่ละผลิตภัณฑ์



 


ที่มา: http://www.youtube.com/watch?v=kpX-4FpG52A

ยาสีฟัน



ยาสีฟันหมายถึงสารที่ใช้ทำความสะอาดฟันและลิ้น เพื่อรักษาสุชอนามัยในช่องปาก โดยทั่วไปยาสีฟันมักมีการแต่งสี กลิ่นและรสชาดเพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกสดชื่นฟันสะอาด ยาสีฟันถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอียิปต์โบราณ โดยทำมาจากส่วนผสมของดอกไอริส (iris flowers)  จากนั้นชาวกรีกและชาวโรมันได้มีการพัฒนาสูตรยาสีฟันโดยการเติมสารขัดฟัน (abrasive) เช่น กระดูกป่น หรือเปลือกหอยลงไปในยาสีฟันด้วย ต่อมาช่วงราวศตวรรษที่ 18 ยาสีฟันสูตรอเมริกันและอังกฤษที่ที่มีส่วนผสมของขนมปังเผาอยู่ด้วยก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีสูตรยาสีฟันที่มีส่วนผสมของยางต้นไม้ อบเชย และอะลูมินาเผาด้วย  แต่การใช้ยาสีฟันยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนกระทั่งในศตวรรษที่19 ประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง บริษัทคอลเกตได้คิดค้นยาสีฟันแบบครีมบรรจุในหลอดบีบเพื่อจำหน่ายเป็นครั้งแรก (1)


            ใน ค.ศ.1914 เริ่มมีการเติมฟลูออไรด์ลงในยาสีฟันแต่ยังไม่มีการรับรองถึงประสิทธิผลในการป้องกันฟันผุจากสมาคมทันตกรรมของอเมริกา จนกระทั่งในค.ศ.1950 บริษัท Procter & Gamble ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลในการป้องกันฟันผุของยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์  และได้การรับรองจากสมาคมทันตกรรมอเมริกา


          ปริมาณฟลูออไรด์ในยาสีฟันที่สามารถป้องกันฟันผุ มีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ   สำหรับประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้กำหนดให้ฟลูออไรด์ที่ผสมในยาสีฟันมีปริมาณได้ไม่เกิน 0.11%หรือ 1,100 ส่วนในล้านส่วน (ppm) และจัดประเภทยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เป็นเครื่องสำอางคุมพิเศษ (2)


ส่วนประกอบในยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ (3, 4)


1. ฟลูออไรด์ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญซึ่งช่วยป้องกันฟันผุ โดยทำหน้าที่เคลือบฟัน ป้องกันการกัดกร่อนของกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย รวมทั้งกรดในอาหารด้วย รูปแบบของฟลูออไรด์ที่ใช้ผสมในยาสีฟันมี 2 ชนิด คือ โซเดียมฟลูออไรด์ (NaF)และ โซเดียม โมโนฟลูออโรฟอสเฟต (Na2PO3F) ซึ่งในแต่ละผลิดภัณฑ์จะมีสัดส่วนของฟลูออไรด์ทั้งสองต่างๆ กัน หรืออาจใช้เพียงชนิดเดียวก็ได้ แต่จะมีปริมาณฟลูออไรด์ได้ไม่เกิน 1,100 ppm ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด ซึ่งยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ส่วนใหญ่จะมีปริมาณฟลูออไรด์ 1,000 ppm


2. สารขัดฟัน (Abrasives) ช่วยขจัดคราบอาหารและคราบหินปูนที่เกาะอยู่บนฟัน โดยทั่วไปนิยมใช้สารที่มีลักษณะเป็นผงละเอียด ยาสีฟันควรมีสารขัดฟันมากพอที่จะกำจัดคราบอาหารและคราบหินปูน แต่ถ้าใช้มากเกินไปก็อาจจะทำลายเคลือบฟันของเราได้ สารขัดฟันที่นิยมใช้กันได้แก่ แคลเซียมฟอสเฟต (Ca2 (PO4)3) ไดแคลเซียมฟอสเฟตไดไฮเดรต (CaHPO4?2H2O) แมกเนเซียมไฮดรอกไซด์ (Mg(OH)2) อะลูมิเนียมออกไซด์ไฮเดรต (Al2O3.H2O)   แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) หรือ ซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) เป็นต้น


3. สารชำระล้าง (Detergents) ช่วยทำให้เกิดฟองและไม่ทำให้ยาสีฟันไหลออกจากปากขณะแปรงฟัน  สารเคมีที่ใช้โดยทั่วไปคือ โซเดียมลอริลซัลเฟต


4. สารเพิ่มความชื้น (Humectants) ช่วยทำให้ยาสีฟันมีรสสัมผัสของความชื้นไม่แห้งแข็ง สารเคมีที่ใช้โดยทั่วไปคือ กลีเซอรีน (glycerin) ซอร์บิทอล (sorbitol) และน้ำ นอกจากนี้ซอร์บิทอลยังทำให้ยาสีฟันมีรสหวาน ซึ่งอาจทำให้เด็กกลืนกินเข้าไปได้


5. สารเพิ่มความข้นหนืด (Thickeners) ช่วยเพิ่มความข้นหนืดให้แก่ยาสีฟัน สารเคมีในกลุ่มนี้ได้แก่ คาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส (carboxy methyl cellulose) และ คาราจีแนน (carragenan)


6. สารกันเสีย (Preservatives) ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ในยาสีฟัน สารเคมีในกลุ่มนี้ได้แก่ โซเดียมเบ็นโซเอท (sodium benzoate) เอทิลพาราเบน (ethyl paraben) เมทิลพาราเบน (methyl paraben) ไทรโคซาน (triclosan) เป็นต้น


วิธีใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์


            ปริมาณยาสีฟันที่พอเหมาะในแต่ละช่วงอายุคือ


                       เด็กอายุ 6 เดือน - 1 ปีครึ่ง ให้มีปริมาณยาสีฟัน แตะแต่เพียงพอชื้น


                       เด็กอายุ1ปีครึ่ง – 3 ปี
ให้มีปริมาณยาสีฟัน
เท่าเมล็ดถั่วเขียว


                       เด็กอายุ 3 ปี
ให้มีปริมาณยาสีฟัน เท่าเมล็ดข้าวโพด


                       เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป – ผู้ใหญ่
ให้มีปริมาณยาสีฟัน ครึ่งเซ็นติเมตร
            และควรใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และแปรงฟันให้นานครั้งละ 1 – 2 นาทีขึ้นไป     เพื่อให้ฟลูออไรด์จากยาสีฟันสัมผัสกับผิวฟันเป็นเวลานานพอ     จึงจะเกิดผลในการป้องกันฟันผุได้เต็มที่


ข้อมูลความปลอดภัย


            การกลืนยาสีฟันเข้าไปอาจทำให้คลื่นไส้    อาเจียนและท้องเสียได้ (1)    หรือ   หากได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้ฟันตกกระ (dental fluorosis)  ในกรณีที่รุนแรง ฟันจะเกิดเป็นรอยสีน้ำตาล ผิวฟันจะขรุขระ เป็นจุดและทำความสะอาดได้ยาก โดยเฉพาะจะเกิดปัญหากับฟันแท้ของเด็กเมื่อเด็กบริโภคฟลูออไรด์มากเกินไปในช่วงก่อนอายุ 6 ขวบ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังไม่ให้เด็กกินหรือกลืนยาสีฟันเข้าไปในขณะที่แปรงฟัน


วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

ก้อนดับกลิ่น(Deodorant)



มีสารสำคัญที่นิยมใช้  คือ   p-dichlorobenzene   ซึ่งตาม  พรบ. วัตถุอันตราย  จัดเป็นวัตถุอันตรายประเภท 3  แต่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย  เมื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือน หรือทางสาธารณสุขที่นำมาใช้เพื่อประโยชน์เพื่อระงับ ป้องกัน ควบคุม ไล่ กำจัดแมลงและสัตว์อื่น หรือเพื่อประโยชน์ในการดับกลิ่น



ชื่อพ้อง  

            1,4-Dichlorobenzene; PARA; para-Dichlorobenzene; p-dichlorobenzol; p-chlorophenyl chloride; Paracide; Paradow; Paramoth; paranuggets; Para-zene; Dichlorobenzene, 1,4- ; Dichlorocide; dichloricide; DCB; Evola; globol; PDB; PDCB; persia-perazol; santochlor
ประโยชน์

            - ใช้ในการป้องกันควบคุม ไล่ กำจัดแมลง และสัตว์ อื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการดับกลิ่น

            - สารนี้ใช้เป็นสารวิเคราะห์และทดสอบ (Reagent) ทางเคมีในห้องปฏิบัติการ
กลไกการออกฤทธิ์

            เนื่องจากคุณสมบัติสามารถระเหิดกลายเป็นไอย่างช้าๆ  และไอที่เกิดขึ้นจะทำหน้าที่ดับกลิ่น หรือฆ่าแมลง          
ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายที่ได้รับ

            - เป็นพิษอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ, อาจก่อให้เกิดผลเสียระยะยาวต่อสภาวะแวดล้อมในน้ำและเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

            - ถ้าหายใจเข้ามากไปทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้  อาเจียน  เวียนศีรษะ  เซื่องซึม  ทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนและกดระบบประสาทส่วนกลาง หมดสติ 

            - หากกลืนหรือกินเข้าไปทำให้ปวดศีรษะ   มีอาการอาเจียน   มึนงง   ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ สารที่ทำให้ระคายเคืองต่อตาและผิวหนัง
การเกิดพิษ

            - พิษเฉียบพลัน  LD50 (oral, rat): < 2000 mg/kg

            - ความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันถึงเรื้อรัง    ไม่ส่งผลกระทบที่เป็นพิษต่อทารกในครรภ์    ภายใต้ปริมาณความเข้มข้นที่ยอมให้มีได้

การปฐมพยาบาล

เมื่อสูดดมสารในปริมาณมาก

            ถ้าสูดดมเข้าไป,    ให้ย้ายผู้ป่วยไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์    ถ้าไม่หายใจ   ให้การช่วยหายใจ  ถ้าหายใจลำบากให้ออกซิเจน
เมื่อสัมผัสสาร

            ในกรณีที่ถูกผิวหนัง,       ให้ล้างออกด้วยน้ำปริมาณมาก      เป็นเวลาอย่างน้อย   15  นาที ถอดเสื้อและรองเท้าที่เปื้อนสาร  ไปพบแพทย์
เมื่อสารเข้าตา

            ในกรณีที่เข้าตา     ให้ล้างด้วยน้ำปริมาณมาก     เป็นเวลาอย่างน้อย    15 นาที   ต้องแน่ใจว่าได้ล้างตาอย่างเพียงพอ โดยใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออกจากกันระหว่างล้าง  ไปพบแพทย์
เมื่อกลืนกิน

            เมื่อกลืนกิน ให้ใช้น้ำบ้วนปากในกรณีที่ผู้ป่วยที่ยังมีสติอยู่  ไปพบแพทย์ ศูนย์คอมพิวเตอร์